จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554

ถามตอบปัญหาธรรมมะ ตอนที่๒


 

ถามตอบปัญหาธรรมมะ ตอนที่๒

4. เราสามารถทำบุญ   อุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้อื่นได้หรือไม่?

บุญคืออะไร  อย่าลืมว่า   บุญคือขณะจิตที่ดีงาม   เมื่อรู้เห็นคนอื่นทำกรรมดี   ก็พลอยยินดีอนุโมทนาด้วยที่เขาทำกุศล   จิตที่พลอยยินดีอนุโมทนาด้วยนั้นเป็นกุศลจิต   บางคนไม่อนุโมทนากุศลของคนอื่น   เพราะริษยาก็เป็นได้   การอุทิศส่วนกุศลให้ใครก็เพื่อให้ผู้นั้นรู้   เพื่อผู้นั้นจะเกิดกุศลจิตอนุโมทนา   กุสลจิตที่อนุโมทนาเป็นกุศลของผู้อนุโมทนาเอง   ซึ่งกุศลนั้นเองจะเป็นเหตุให้เขาได้รับผลคือวิบากจิตที่ดีเกิดขึ้น   ไม่ใช่เราหยิบยื่นกุศลของเราให้คนอื่น   แต่การที่เราทำกุศลเป็นเหตุให้คนอื่นที่รู้อนุโมทนายินดีด้วย   ขณะใดที่เขาอนุโมทนายินดีด้วยขณะนั้นก็เป็นกุศลของเขา   ไม่ใช่ของเรา
จากหนังสือ  "ตอบปัญหาธรรม"   โดย  สุจินต์  บริหารวนเขตต์
Back to Top

5. บาป  บุญ   มีจริงไหม   จะเชื่อได้อย่างไร?

บาป  คือ  อกุศลกรรม   เป็นสภาพธรรมที่ไม่ดี   ไม่งามและให้โทษ   บุญ  คือ   กุศลธรรม   เป็นสภาพที่ดีงามเป็นประโยชน์   ไม่เป็นโทษกับใครเลย   ฉะนั้นถ้าไม่มีจิต   บาปบุญก็ไม่มี  ภูเขา   ก้อนหิน  กรวดทราย  ต้นไม้   ไม่มีบุญไม่มีบาปเพราะไม่มีจิต   คิดไม่ได้  ทำอะไรไม่ได้   ฆ่าสัตว์ไม่ได้   ลักทรัพย์ไม่ได้   บุญ   บาปจึงเป็นสภาพของจิต   ขณะใดจิตประกอบด้วยสภาพธรรมที่ดีจึงเป็นบุญ   ขณะใดจิตประกอบด้วยสภาพธรรมที่ไม่ดีจึงเป็นบาป   ไม่มีใครจะสามารถเห็นจิตหรือดูจิตได้ด้วยตา   แต่ว่าสามารถระลึกรู้ลักษณะของจิตได้   เพราะทุกคนมีจิตและทุกคนก็เพียงแต่รู้ว่ามีจิต     เมื่อไม่ศึกษาโดยละเอียดก็ไม่มีทางรู้ได้ว่าจิตอยู่ที่ไหน   ขณะเห็นเป็นจิตชนิดหนึ่ง   ขณะได้ยินเป็นจิตชนิดหนึ่ง   ขณะได้กลิ่นเป็นจิตชนิดหนึ่ง   ชณะลิ้มรสเป็นจิตชนิดหนึ่ง   ขณะที่รู้เย็นบ้าง   รู้ร้อนบ้าง   รู้แข็งบ้างก็เป็นจิตชนิดหนึ่ง   ชณะคิดนึกเป็นจิตชนิดหนึ่ง   และควรพิจารณาให้ละเอียดลงไปอีกว่าจิตเห็นเป็นบาปหรือเปล่า   จิตเห็นเพียงเห็น   ไม่ใช่อกุศลจิตและไม่ใช่กุศลจิต   จิตได้ยิน  จิตได้กลิ่น   จิตลิ้มรส   จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสก็ไม่ใช่กุศลจิตและไม่ใช่อกุศลจิต   แต่ขณะที่เห็นแล้วชอบ   ขณะชอบเป็นโลภมูลจิต   เป็นอกุศลจิตซึ่งจะใช้คำว่าบาปก็ได้   เพราะเป็นจิตที่มีกิเลสไม่ผ่องใส   มีสภาพของโลภเจตสิกซึ่งทำให้ติด   พอใจ  ยินดี  ปราถนา   ต้องการสิ่งที่เห็น   สิ่งที่ได้ยิน  เป็นต้น    ขณะนั้นจึงเป็นอกุศล   ขณะใดเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจแล้วไม่ชอบ   ขณะนั้นก็เป็นโทสะ   เป็นสภาพที่ขุ่นเคืองไม่พอใจ   ขณะนั้นก็เป็นอกุศล   ฉะนั้นเมื่อจิตมีจริง  บาป   บุญก็มีจริง   และจิตก็มีทั้งอกุศลจิตและกุศลจิต   ขณะใดที่เป็นอกุศลจิต   ขณะนั้นเป็นบาป  จึงมีจริง    ขณะใดที่เป็นกุศลจิต   ขณะนั้นก็เป็นบุญจึงมีจริง
จากหนังสือ  "ตอบปัญหาธรรม"   โดย  สุจินต์  บริหารวนเขตต์

6. สัตว์ดิรัจฉานทำบุญ   ทำบาปได้หรือไม่?

เมื่อมีจิตก็ต้องมีกุศลจิตและอกุศลจิตด้วย   แล้วแต่ว่าอกุศลจิตจะเกิดมาก   หรือกุศลจิตจะเกิดมาก    กำเนิดสัตว์ดิรัจฉานนั้น   กุศลจิตย่อมเกิดได้น้อยกว่าภูมิมนุษย์   ฉะนั้นส่วนใหญ่จึงเป็นอกุศล

จากหนังสือ  "ตอบปัญหาธรรม"   โดย  สุจินต์  บริหารวนเขตต์
Back to Top

7. ชาติหน้ามีจริงหรือ   มีอะไรพิสูจน์แสดงให้เห็นว่ามีจริง?

ชาตินี้มีจริงไหม   เมื่อชาตินี้มีจริงได้   ชาติหน้าก็ย่อมมีจริงได้   เวลาคิดถึงชาติหนึ่งๆก็คิดถึงระยะยาว   คือ   ตั้งแต่เกิดมาชีวิตก็ล่วงไปเป็นวัน   เป็นเดือน  เป็นปี   เป็นยี่สิบสามสิบปีต่อๆไปจนตาย   ก็นับว่าเป็นชาติหนึ่ง   แต่ทำไมจึงไม่ถอยให้สั้นกว่าปี   เดือน  วัน   จนถึงขณะเมื่อกี้นี้กับขณะเดี๋ยวนี้ซึ่งไม่ใช่ขณะเดียวกัน   แสดงให้เห็นว่าแต่ละขณะนั้นล่วงไป   ดับไป  สิ้นไปเร็วที่สุด    พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมว่าชีวิตดำรงอยู่เพียงชั่วขณะที่จิตเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปสืบต่อกันทีละหนึ่งขณะ   เมื่อจิตดวงหนึ่งดับไปแล้วก็ไม่ใช่ว่าหมดเชื้อหมดปัจจัยที่จะทำให้จิตต่อไปเกิดขึ้น   เช่น   ขณะเมื่อกี้นี้หมกสิ้นไปแล้ว   ใครจะเรียกร้องให้นามธรรมและรูปธรรมที่ดับไปเมื่อกี้นี้กลับคืนมาไม่ได้เลย   สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว   การเกิดขึ้นแล้วดับไปของรูปธรรมและนามธรรมแต่ละขณะนั้นเป็นเพราะมีเหตุปัจจัยทำให้เกิดขึ้น
ขณะเมื่อกี้นี้มีจึงทำให้ขณะนี้มี   และเมื่อวานนี้มีวันนี้จึงมีฉันใด   วันนี้มี   พรุ่งนี้ก็มีฉันนั้น   เพราะวันนี้เป็นปัจจัยของวันพรุ่งนี้   ถ้าวันนี้ไม่มี   พรุ่งนี้ก็ไม่มี   เพราะฉะนั้นเรื่องชาตินี้ชาติหน้าก็เหมือนกับเรื่องวันนี้และพรุ่งนี้   ถ้านึกไปไกลถึงชาติหน้าก็จะทำให้สงสัยและพิสูจน์ไม่ได้   แต่ถ้ากลับมาพิสูจน์ขณะที่สั้นที่สุดใกล้ที่สุดคือขณะนี้   ก็จะรู้ความจริงของทุกๆขณะได้   และจะทำให้หมดความสงสัยในสภาพธรรมทั้งหลายซึ่งปรากฏเป็นชีวิตแต่ละขณะ   เพราะไม่ว่าชาติก่อน   ชาตินี้  หรือชาติหน้า   สภาพธรรมทั้งหลายก็เกิดขึ้นเพราะปัจจัยทั้งสิ้น   ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย
ที่เราเกิดมานี้ก็เพราะความไม่รู้   เราเลือกเกิดไม่ได้ว่าจะเกิดวันไหน   ถ้าเลือกวันเกิดได้ก็เลือกวันตายได้   เพราะเมื่อตายจากชาติก่อน   คือเมื่อจุติจิตของชาติก่อนดับไปแล้ว   ก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไป   คือปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น   เป็นจิตขณะแรกของชาตินี้   ซึ่งเกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อนทันที   ไม่มีระหว่างคั่นเลย   เหมือนกับจิตทุกขณะของวันนี้ที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว
จิตทุกขณะในปัจจุบันชาตินี้เกิดดับสืบต่อกันฉันใด   เมื่อจุติจิตของชาตินี้ดับไปแล้วก็เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดต่อเป็นชาติหน้าทันทีฉันนั้น   ไม่มีใครบังคับจิตนิยามซึ่งเป็นธรรมชาติของจิตได้   วิสัยของจิตที่เกิดดับนั้นไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย
ฉะนั้นเมื่อยังมีเหตุปัจจัยที่ทำให้จิตเกิด   จิตก็ต้องเกิด   ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์นั้นต้องเกิดอีกแน่นอน   ถึงแม้ว่าไม่รู้ก็ต้องเกิด   เหมือนชาตินี้ก็ไม่รู้   แต่ก็ต้องเกิดมา   ไม่ใช่ว่าอยากจะเกิดที่ไหนวันไหนก็เกิดได้   แต่เมื่อมีเหตุปัจจัยให้เกิดเมื่อไหร่ที่ไหนก็เกิดเมื่อนั้นที่นั้น
จิตเป็นนามธรรมที่เกิดดับอย่างรวดเร็ว   จึงไม่สามารถเอามาเข้าห้องทดลองพิสูจน์อย่างวิทยาศาสตร์ได้   แต่สามารถประจักษ์แจ้งลักษณะที่แท้จริงของจิตได้ด้วยการอบรมเจริญปัญญา   ตามหนทางที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงตรัสรู้และทรงแสดงไว้
จากหนังสือ  "ตอบปัญหาธรรม"   โดย  สุจินต์  บริหารวนเขตต์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ยินดีต้อนรับความคิดเห็นดีๆ ติชมบทความตามพอเหมาะ

สายฝน แห่งชีวิต ปล่อยความทุกข์ กังวลไหลไปตาม สายน้ำ ไม่ยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวาง





ใบไม้ร่วงโรย ชีวิตล่วงเลย แต่ใจไม่ร่วงหล่น