คำถามและคำตอบ
เกี่ยวกับจิตวิญญาณ ชีวิตหลังความตาย และการเกิดใหม่
วิญญาณมีจริงหรือไม่ ชีวิตหลังความตาย |
วิญญาณมีจริงหรือไม่ ?
พระพุทธเจ้าทรงตรัสกับพระอานนท์ ดังปรากฏใน มหานิทานสูตร ดังนี้
พระพุทธเจ้า : “ดูก่อนอานนท์ ถ้าวิญญาณจะไม่ก้าวลงสู่ครรภ์มารดา นามรูปจะพึงเกิดในท้อง
ของมารดาได้หรือไม่”
พระอานนท์ : “มิได้พระพุทธเจ้าข้า”
พระพุทธเจ้า : “ดูก่อนอานนท์ ถ้าวิญญาณก้าวลงสู่ครรภ์มารดาแล้วก้าวออกไปเสีย นามรูปจะพึง
มีอยู่ต่อไปได้หรือไม่”
พระอานนท์ : “มิได้พระพุทธเจ้าข้า”
พระพุทธเจ้า : “ดูก่อนอานนท์ ถ้าวิญญาณจักจุติ(ดับ,ตาย,เคลื่อน)ละไปเสียในระหว่างที่ยังเป็น
เด็กหญิงหรือเด็กชายหรือผู้เยาว์วัย นามรูปจะยังเจริญงอกงามไพบูลย์ได้หรือไม่”
พระอานนท์ : “มิได้พระพุทธเจ้าข้า”
พระพุทธเจ้า : “ดูก่อนอานนท์ เพราะเหตุนี้วิญญาณจึงได้ชื่อว่าเป็นเหตุ เป็นนิทาน(ต้นเรื่อง) เป็น
สมุทัย(เหตุแห่งทุกข์) เป็นปัจจัยของนามรูป”
(สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค / มหานิทานสูตร)
การเวียนว่ายตายเกิดมีจริงหรือไม่ ?
พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ ดังปรากฏใน มหาปรินิพพานสูตร ว่า
พระพุทธเจ้า : “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะไม่รู้แจ้งในอริยสัจ ๔ เราและพวกเธอ จึงเวียนว่ายตายเกิดสิ้นกาลนานอย่างนี้”
(สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค / มหาปรินิพพานสูตร)
หรือที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสกับพระอานนท์ ดังปรากฏใน ปฐมภวสูตร ว่า
พระพุทธเจ้า : “ดูก่อนอานนท์ ความตั้งใจความจงใจ(เจตนา) ความปรารถนาของสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องหุ้มห่อ มีตัณหาเป็นเครื่องรึงรัด ได้ตั้งลงแล้วในธาตุอันเลว(กามธาตุ) ธาตุปานกลาง(รูปธาตุ,อรูปธาติ) เมื่อเป็นดังนี้การเกิดในภพใหม่ก็มีขึ้นได้อีก”
(สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาตร / ปฐมภวสูตร)
การระลึกชาติได้มีจริงหรือไม่ ?
พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ ดังปรากฏใน ภยเภรวสูตร ว่า
พระพุทธเจ้า : “เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลสเป็นดังเนิน ปราศจากความเศร้าหมอง อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวอย่างนี้ เรานั้นจึงน้อมจิตไปเพื่อ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติก่อนได้หลายชาติ คือ หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอเนกบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัปเป็นอเนกบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัปเป็นอเนกบ้าง ว่าในภพโน้นเรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยทุกข์เสวยสุขอย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติ(ดับ)จากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้นเราก็มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยทุกข์เสวยสุขอย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้มาเกิดในภพนี้ ย่อมตามระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้”
(สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ / ภยเภรวสูตร)
ทำไมบางคนจำอดีตชาติได้และบางคนจำอดีตชาติไม่ได้ ?
สำหรับคำถามนี้ผู้เขียนมีสมมุติฐาน เกี่ยวกับการจำอดีตชาติได้และการจำอดีตชาติไม่ได้ว่า การที่บางคนสามารถจำอดีตชาติได้นั้น อาจมีสาเหตุมาจากการที่ความทรงจำในอดีตชาตินั้นยังอยู่ในระดับของวิถีจิตหรือจิตสำนึกปกติ(Consciousness) เพราะความทรงจำในอดีตชาตินั้น ถูกระลึกถึงอยู่เสมอ หรือถูกทบทวนอยู่บ่อยๆ หรือมีความฝังใจ หรือมีเจตนาที่แรงกล้า หรือมีความหนักแน่นมั่นคง หรือมีความชัดเจน หรือเพราะจิตวิญญาณของผู้เสียชีวิตมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ดี ขณะเสียชีวิต หรือหลังจากเสียชีวิต หรือขณะที่วิญญาณก้าวลงสู่ครรภ์มารดา หรือขณะที่อยู่ในครรภ์มารดา หรือขณะคลอดจากครรภ์มารดา หรือหลังคลอดจากครรภ์มารดา ทำให้ความทรงจำในอดีตชาตินั้นถูกยกขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกันกับวิถีจิตหรือจิตสำนึกปกติ จึงทำให้สามารถจำอดีตชาติได้ด้วยความทรงจำปกติตั้งแต่เด็ก
ส่วนการที่บางคนจำอดีตชาติไม่ได้ด้วยความทรงจำปกตินั้น อาจมีสาเหตุมาจากการที่ความทรงจำในอดีตชาตินั้น ถูกดึงเข้าไปอยู่ในระดับของภวังคจิตหรือจิตใต้สำนึก(Subconciousness) เพราะความทรงจำในอดีตชาตินั้น ไม่ได้ถูกระลึกถึงอยู่เสมอ หรือไม่ได้ถูกทบทวนอยู่บ่อยๆ หรือไม่มีความฝังใจ หรือไม่มีเจตนาที่แรงกล้า หรือไม่มีความหนักแน่นมั่นคง หรือไม่มีความชัดเจน หรือเพราะจิตวิญญาณของผู้เสียชีวิตขาดสติสัมปชัญญะไม่รู้สึกตัว ขณะเสียชีวิต หรือหลังจากเสียชีวิต หรือขณะที่วิญญาณก้าวลงสู่ครรภ์มารดา หรือขณะที่อยู่ในครรภ์มารดา หรือหลังคลอดจากครรภ์มารดา ทำให้ความทรงจำในอดีตชาตินั้นถูกดึงเข้าไปเก็บไว้ในระดับเดียวกันกับภวังคจิตหรือจิตใต้สำนึก จึงทำให้ไม่สามารถจำอดีตชาติได้ด้วยความทรงจำปกติตั้งแต่เด็ก
โลกหน้าหรือโลกอื่น(ปรโลก)มีจริงหรือไม่ ?
พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ ดังปรากฏใน อปัณณกสูตร ว่า
พระพุทธเจ้า : “โลกหน้ามี แต่เขากลับเห็นว่า โลกหน้าไม่มี ความเห็นของเขาจึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ โลกหน้ามี แต่เขาดำริว่า โลกหน้าไม่มี ความดำรินั้นของเขาจึงเป็น มิจฉาสังกัปปะ โลกหน้ามี แต่เขากล่าวว่า โลกหน้าไม่มี ผู้นี้ย่อมทำตนเป็นข้าศึกต่อพระอรหันต์ผู้รู้แจ้งโลกหน้า”
(สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ / อปัณณกสูตร)
เวรกรรมมีจริงหรือไม่ ?
พระพุทธเจ้า ทรงตรัสกับเหล่าภิกษุที่เกิดความสงสัย เมื่อพระลักขณะเห็นพระโมคคัลลานะพระอัครสาวกเบื้องซ้าย ได้แย้มยิ้มขึ้น ณ.ที่แห่งหนึ่งขณะกำลังลงจากเขาคิชฌกูฏ ดังปรากฏในอัฏฐิสูตร โดยพระโมคคัลลานะได้กล่าวว่า
พระโมคคัลลานะ :
“ขณะที่ผมกำลังลงจากเขาคิชฌกูฏได้เห็นโครงกระดูกลอยอยู่กลางอากาศ พวกแร้งบ้างกาบ้าง นกตะกรุม ต่างก็โผถลาลงจิกทึ้งโครงกระดูกนั้นตามระหว่างซี่โครง ได้ยินว่าโครงกระดูกนั้นส่งเสียงร้องครวญคราง ผมคิดว่าน่าอัศจรรย์จริงหนอ น่าแปลกจริง สัตว์แม้เห็นปานนี้ ยักษ์แม้เห็นปานนี้ การได้อัตภาพแม้เห็นปานนี้ จักมีได้เชียวหรือ”
ครั้งนั้นแลพระพุทธเจ้าทรงตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมา แล้วตรัสว่า
พระพุทธเจ้า :
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สาวกทั้งหลายเป็นผู้มีจักษุหนอ เป็นผู้มีญาณหนอ เพราะว่าแม้สาวกก็จักรู้จักเห็นสัตว์เช่นนั้น หรือจักเป็นพยาน เมื่อก่อนเราได้เห็นสัตว์ตนนั้นเหมือนกัน แต่ว่าไม่ได้พยากรณ์ไว้ หากว่าเราพึงพยากรณ์สัตว์นั้นไซร้ คนอื่นๆก็จะไม่พึงเชื่อถือเรา ข้อนั้นพึงเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์ เพื่อความทุกข์สิ้นกาลนานแก่ผู้ไม่เชื่อถือเรา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ตนนี้เป็นคนฆ่าโคอยู่ในกรุงราชคฤห์นี่เอง ด้วยผลของกรรมนั้นเขาจึงหมกไหม้อยู่ในนรกหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี หลายแสนปี ด้วยเศษผลของกรรมนั้น และยังเหลืออยู่ เขาจึงต้องประสบการได้อัตภาพเห็นปานนี้”
นรกมีจริงหรือไม่ ?
พระพุทธเจ้าทรงตรัสกับภิกษุ ดังปรากฏใน เทวทูตสูตร ว่า
พระพุทธเจ้า : ...ก็มหานรกนั้น มี ๔ มุม ๔ ประตู แบ่งออกเป็นส่วน มีกำแพงเหล็กล้อมรอบ ครอบ
ด้วยฝาเหล็ก มหานรกนั้นมีพื้นเป็นเหล็ก ลุกโชนโชติช่วงแผ่ไปไกลด้านละ ๑๐๐ โยชน์ ตั้งอยู่ทุกเมื่อ ภิกษุทั้งหลาย เปลวไฟแห่งมหานรกนั้น ลุกโพลงขึ้นจากฝาทิศตะวันออกจรดฝาด้านทิศตะวันตก ลุกโพลงขึ้นจากฝาทิศตะวันตกจรดฝาด้านทิศตะวันออก ลุกโพลงขึ้นจากฝาทิศเหนือจรดฝาด้านทิศใต้ ลุกโพลงขึ้นจากฝาทิศใต้จรดฝาด้านทิศเหนือ ลุกโพลงขึ้นจากเบื้องล่างจรดเบื้องบน ลุกโพลงขึ้นจากเบื้องบนจรดเบื้องล่าง...ภิกษุทั้งหลาย รอบๆมหานรกนั้น มีคูถนรกขนาดใหญ่อยู่...รอบๆคูถนรกนั้นมีกุกกุลนรก(เถ้าร้อน)ขนาดใหญ่อยู่...รอบๆกุกุลนรกนั้น มีป่างิ้วขนาดใหญ่สูงหนึ่งโยชน์ มีหนามยาว ๑๖ องคุลี ร้อนแดงลุกเป็นไฟ...รอบๆป่างิ้วนั้นมีป่าไม้ที่มีใบเป็นดาบขนาดใหญ่อยู่...รอบๆป่าไม้ที่มีใบเป็นดาบนั้นมีแม่น้ำอันมีน้ำเป็นด่างขนาดใหญ่อยู่...
(สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ / เทวทูตสูตร)
คนเราตายแล้วไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานได้หรือไม่ ?
พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงการเวียนว่ายตายเกิดของพระองค์ว่า พระองค์เองได้เวียนว่ายตายเกิดมาแล้วหลายภพหลายชาติ มีช่วงหนึ่งนับเวลาได้ ๔ อสงขัย แสนกัป ท่านได้ตั้งใจแน่วแน่ที่จะบำเพ็ญบารมีเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้า และมีบางชาติที่พระองค์มีกำเนิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ดังปรากฏใน พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก ว่า
“ การบำเพ็ญบารมีอันเป็นเครื่องบ่มพระโพธิญาณเหล่านี้ จัดเป็นบารมี ๑๐ อุปบารมี ๑๐ และปรมัตถบารมี ๑๐ คือ การบำเพ็ญทานในภพที่เราเป็น พระเจ้าสิวิราช...ในภพที่เราเป็น เวสสันดร...ในภพที่เราเป็น เวลามพราหมณ์...ในภพที่เราเป็น อกิตติดาบส...ในภพที่เราเป็น พญาไก่ป่า(ไม่มีชื่อ)...ในภพที่เราเป็น สีลวนาค...ในภพที่เราเป็น พญากระต่าย(ไม่มีชื่อ)...ในภพที่เราเป็น พญาวานร(ไม่มีชื่อ)...ในภพที่เราเป็น ช้างฉัททันต์...ในภพที่เราเป็น ช้างเลี้ยงมารดา(ไม่มีชื่อ) ...ในภพที่เราเป็น จัมเปยยนาคราช...ในภพที่เราเป็น ภูริทัตตนาคราช...ในภพที่เราเป็น สังขปาลบัณฑิต...ในภพที่เราเป็น ยุธัญชัยกุมาร...ในภพที่เราเป็น มหาโควินทพราหมณ์...ในภพที่เราเป็น คนเลี้ยงช้าง...ในภพที่เราเป็น อโยฆรราชโอรส...ในภพที่เราเป็น ภัลลาติ...ในภพที่เราเป็น สุวรรณสาม...ในภพที่เราเป็น มฆเทพ...ในภพที่เราเป็น มโหสถ...ในภพที่เราเป็น กุณฑล...ในภพที่เราเป็น ตัณฑิละ...ในภพที่เราเป็น นกกระทา...ในภพที่เราเป็น วิธูรบัณฑิต...ในภพที่เราเป็น สุริยพราหมณ์...ในภพที่เราเป็น มาตังคพราหมณ์...ในภพที่เราเป็น พระราชาผู้มีศีล...ในภพที่เราเป็น พระราชาผู้มีความบากบั่น...ในภพที่เราเป็น ธรรมปาลกุมาร...ในภพที่เราเป็น ธรรมิกเทพบุตร...ในภพที่เราเป็น ขันติวาทีดาบส...ในภพที่เราเป็น สสบัณฑิต...ในภพที่เราเป็น นกคุ่ม(ไม่มีชื่อ) ...ในภพที่เราเป็น ปลา(ไม่มีชื่อ) ...ในภพที่เราเป็น สุปารบัณฑิต...ในภพที่เราเป็น กัณหทีปายนดาบส...ในภพที่เราเป็น วานร(ไม่มีชื่อ) ...ในภพที่เราเป็น สุตโสมราชา...ในภพที่เราเป็น มาตังคชฎิล...ในภพที่เราเป็น ช้างมาตังคะ...ในภพที่เราเป็น มูคปักขกุมาร...ในภพที่เราเป็น มหากัณหฤษี...ในภพที่เราเป็น พระเจ้าโสธนะ...ในภพที่เราเป็น พระเจ้าพรหมณ์ทัตต์...ในภพที่เราเป็น คัณฑิติณฑกะ...ในภพที่เราเป็น โสณนันทบัณฑิต...ในภพที่เราเป็น พระเจ้าเอกราช...ในภพที่เราเป็น นกแขกเต้า ...ในภพที่เราเป็น โลมหังสบัณฑิต บารมีของเรา ๑๐ ประการนี้เป็นส่วนแห่งพระโพธิญาณอันเลิศ...
ทำกรรมใดจึงจะได้ขึ้นสวรรค์ และทำกรรมใดจึงตกนรก ?
มีครั้งหนึ่ง พราหมณ์ชานุสโสนิได้ทูลถามพระพุทธเจ้าถึงเหตุที่ทำให้สัตว์หลังตายไปแล้วไปเกิดในนรกหรือในสวรรค์ ดังปรากฏใน อังคุตตรนิกาย ทุกนิบาต อธิกรณวรรค ว่า
พราหมณ์ชานุสโสนิ : “ ข้าแต่พระโคดม อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้สัตว์บางพวกใน
โลกนี้ หลังตายไปแล้วไปเกิดใน อบาย ทุคติ วินิบาต นรก “...” ข้าแต่พระโคดม อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้สัตว์บางพวกในโลกนี้ หลังตายไปแล้วไปเกิดในสุคติสวรรค์ “
พระพุทธเจ้า : “ พราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้ทำแต่กายทุจริต ไม่ทำกายสุจริต ทำแต่
วจีทุจริต ไม่ทำวจีสุจริต ทำแต่มโนทุจริต ไม่ทำมโนสุจริต สัตว์บางพวกในโลกนี้หลังตายแล้วจึงไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ... ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ทำแต่กายสุจริต ไม่ทำกายทุจริต ทำแต่วจีสุจริต ไม่ทำวจีทุจริต ทำแต่มโนสุจริต ไม่ทำมโนทุจริต สัตว์บางพวกในโลกนี้หลังตายแล้วจึงไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์...”
(พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทุกนิบาต อธิกรณวรรค)
ทำไมบางครั้งพระพุทธเจ้าทรงตอบคำถามเรื่องอดีตชาติและอนาคตชาติ แต่บางครั้งไม่ทรงตอบ ?
พระพุทธเจ้าทรงตรัสกับสกุลุทายีปริพาชก ดังปรากฏใน จูฬสกุลุทายิสูตร ว่า
พระพุทธเจ้า : “ผู้ใดระลึกชาติก่อนได้หลายชาติ...พร้อมทั้งลักษณะทั่วไปและชีวประวัติอย่างนี้ ผู้นั้นควรถามปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอดีตกับเรา หรือเราควรถามปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอดีตกับผู้นั้น ผู้นั้นจะทำให้เรายินดีด้วยการตอบปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอดีต หรือเราจะพึงทำจิตของผู้นั้นให้ยินดีด้วยการตอบปัญหาปรารภขันส่วนอดีต ผู้ใดพึงเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังเกิด ทั้งชั้นต่ำชั้นสูง งามและไม่งาม เกิดดีและเกิดไม่ดี ด้วยตาทิพย์อันบริสุทธิ์เหนือมนุษย์ รู้ชัดถึงหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ผู้นั้นควรถามปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอนาคตกับเราหรือเราควรถามปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอนาคตกับผู้นั้น ผู้นั้นจะทำให้เรายินดีด้วยการตอบปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอนาคต หรือเราจะพึงทำจิตของผู้นั้นให้ยินดีด้วยการตอบปัญหาปรารภขันส่วนอนาคต ”
(พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ / จูฬสกุลุทายิสูตร)
พระพุทธเจ้าทรงไม่ตอบปัญหาอะไร และทรงตอบปัญหาอะไร ?
พระพุทธเจ้าทรงตรัสกับมาลุงกยบุตร ดังปรากฏใน จูฬมาลุงกยบุตรสูตร ว่า
พระพุทธเจ้า : “ มาลุงกยบุตร...ปัญหาอะไรเล่าที่เราไม่ตอบ คือปัญหาว่า โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ชีวะกับสรีระเป็นอย่างเดียวกัน ชีวะกับสรีระเป็นคนละอย่างกัน หลังตายแล้วตถาคตเกิดอีก หลังตายแล้วตถาคตไม่เกิดอีก หลังตายแล้วตถาคตเกิดอีกและไม่เกิดอีก หลังตายแล้วตถาคตจะว่าเกิดอีกก็มิใช่ จะว่าไม่เกิดอีกก็มิใช่ เราไม่ตอบ เพราะเหตุไรเราจึงไม่ตอบ เพราะปัญหานั้นไม่มีประโยชน์ ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย เพื่อคลายความกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ และเพื่อนิพพาน เหตุนั้นเราจึงไม่ตอบ...ปัญหาอะไรเล่าที่เราตอบ คือปัญหาว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้คือทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เราตอบ เพราะเหตุใดเราจึงตอบ เพราะปัญหานั้นมีประโยชน์ เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ เป็นไปเพื่อความหน่าย เพื่อคลายความกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ และเพื่อนิพพาน เหตุนั้นเราจึงตอบ... ”
(พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ / มหามาลุงกยสูตร)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ยินดีต้อนรับความคิดเห็นดีๆ ติชมบทความตามพอเหมาะ