จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

จาก วัตถุมงคลเครื่องรางของขลัง สู่ แก่นธรรม เรื่องของจิต และความเชื่อ

   มหัศจรรย์ทางจิต ข้าพเจ้าเคยอ่านหนังสือของหลวงวิจิตรวาทการ ที่กล่าวเรื่อง ความมหัศจรรย์แห่งจิต อ่านครั้งแรก เมื่อตอนอยู่มัธยม ตอนนั้นเป็นคนที่ชอบสะสมเครื่องรางของขลังมาก โดยเฉพาะเรื่อง ที่เน้นคือ ป้องกันภัย เมตตามหานิยม แคล้วคลาด สารพัดที่หามาได้ และเพลิดเพลินกับมัน ไปที่โรงเรียนใครมีของดีอะไร ก็เอามาอวดกัน เพื่อนบางคนลงทุนไปหาอาจารย์สักเต็มหลัง ทั้งหนุมานเยียบเรือสำเภา สารพัดที่จะเอาความขลังเขาไปใส่ในตัว อย่างบ้าเวลาเขาสอบยังแขวนพระเครื่อง สี่ ห้ารูป ไปช่วยสอบด้วย บ้าไปกันใหญ่มาก เพราะตอนนั้นในพวกเรามันยังบ้าไม่รู้อะไร เป็นอะไร ก็เลยถือว่าเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะเพื่อนที่นัดกันเป็นกลุ่มไปสักยันต์ บางคนไม่ยากสักแต่ก็ต้องบ้าไปสักด้วย ไปสักวันเเรกมีบอกครูไหว้ครู และเลือกเอาว่าจะสักแบบอะไร ใช้นำหมึกจีนจิมไปตามรอยรูปแบบบนแผ่นหลัง ไอ้คนที่มันยากสักมันทนเจ็บได้ ส่วนไอ้คนไม่ยากสักและไอ้คนที่มีศรัทธาน้อย มันก็ต้องลองไปด้วย แต่สักได้แต่หัวลิงยอมแพ้ไม่ไหว้ สักได้แต่หนวดมังกร เลือดไหลซิบๆตามแผ่นหลัง ถอดใจ บอกลาอาจายร์ว่าเดียวค่อยต่อวันหลัง แล้วก็สูญไปเลย ไอ้เพื่อนที่เห็นเลือดและทนเจ็บไม่ไหวเป็นลม ต้อยคอยลากมันไปทำใจใหม่ สมัยนั้นถือว่าอย่างน้อยเราก็รู้จักพระเกจิหลายรูปแต่ข้าพเจ้าไม่เคยเดินทางไปพบหรอก รู้กันแต่ที่มาจากวัตถุมงคล ว่าเป็นของพระเกจิใด อาจารย์ใด เพื่อนมันบางคนเดินทางไปหาถึงที่ ครั้งในวัยนั้นจะไปไหนมาไหนก็ต้องมีที่พึ่งที่เป็นวัตถุ ต่อมาได้มีความเข้าใจ เรื่องเหล่านี้ ก็ได้อ่านหนังสือมหัศจรรย์แห่งจิต ของหลวงวิจิตร และบังเอิญได้ไปฟังธรรมบรรยาย ของหลวงพ่อปัญญานันทะ ที่ทำให้เราสะดุ้งคิดขึ้นมา ที่แก่กล่าวว่า "ไอ้ของศักดิ์สิทธิ ที่ว่าป้องกันภัย ไอ้เขี้ยวเสือ ไอ้เขี้ยวหมูตัน มันจะช่วยป้องกันอะไรได้ ขนาดไอ้หมูตัวนั้นมันยังเอาตัวไม่รอดเลย "  หลังจากนั้นมันเกิดปัญญาฉุดคิดขึ้นมา ก็พยายาม ที่จะแสวงหาสิ่งที่พึ่งทางกำลังใจว่ามันต้องมีอะไรที่จะเป็นสิ่งดีกว่าเหล่านี้ แม้ช่วงนั้นก็ยังถอดจากสิ่งเหล่านั้นยังไม่ค่อยเต็มที่ ในความกลัวลึกๆที่ปถุชนมี ใจที่อ่อนแอ ด้วยการที่เราอยากมีสิ่งที่เป็นกำลังใจเรา จนถึงเวลาที่เราเยียบเหนือสิ่งเหล่านั้นได้ เมื่อตอนขึ้นปริญญา ตรี และเป็นช่วงปี ๔๙-๕๑ จตุคามดังมาก ในนครและมหาลัยมหามกุฏมันก็ตั้งอยู่ในวัดพระธาตุด้วยพิธีเสกนี้ทั้งวันทั้งคืนเลยทีเดียว คนมากมาย การเสกมีเกือบทุกวันไม่มีขาด จนเป็นข่าวว่าพระบรมธาตุทรุดเอียงเนื่องด้วยรถสิบล้อที่ขนจตุคามมาทำพิธีเสก ค่านิยมช่วงนั้นนครทุกเกือบพื้นที่ สร้างรายได้จากกระแสจตุคามได้หมด จนทางจังหวัดจะตั้งให้จตุคามเป็นสิ้นค้าโอทอปที่สร้างรายได้ให้กับนายทุน และผู้คนที่ได้โอกาสแสวงช่องทางเงินในครั้งนั้นทีเดียว ส่วนผมเมื่อเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เป็นอะไรๆ ก็ไม่เคยเหอสะสมแสวงหาเหมือนกับคนอื่นๆแม้แต่พระเครื่องอะไรๆหยุดสนใจในแง่ความศักดิ์สิทธิ์ไปเสียเลยทิ้งหมดแต่ถ้าจะเก็บไว้ มีจุดประสงศ์เดียวคือ มันคือเงินที่จะเพิ่มมูลค่ากำไรให้กับเราที่จะไปขายคนอื่นต่อ และคนอื่นนั้นก็เก็บต่อยอดเก็งกำไรไปขายต่ออีกทอดหนึ่ง จนคนสุดท้ายที่ให้ราคาสูงที่สุดและเก็บไว้บูชารูปปูนเล็กๆ(คุณอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่โง่ที่สุดเพราะไอ้คนก่อนจากนั้นมันฉลาดกว่าที่ได้เงินจากคุณตั้งมากมาย)เมื่อถึงเวลาบวชพระเราเริ่มอยู่กับตัวเองคือใจมันได้สงบ และได้แสวงหาธรรมเป็นที่พึ่งจากการอ่าน การฟังธรรมบรรยาย และศึกษากับจิตใจของตัวเราจนมองเห็นความจริงของความศักดิ์สิทธิ์ ที่ เราได้ฝากจิตฝากใจ ในความรู้สึกที่ว่าสิ่งเหล่านั้นมันเก่งกว่าเรา ในเป็นสัญชาตญาณที่มีความกลัวมันแฝงอยู่ กลัวเจ็บ กลัวตาย กลัวไม่ปลอดภัย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่มีอยู่เป็นตัวช่วยตอบสัญชาตญาณล้วนๆ ในสิ่งที่อยากมี อยากเป็น อยากได้ เลยเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นอำนาจที่จะดลบันดาลช่วยเราได้ ปกติใจนั้นจะเข้มแข็งก็ต้องหาที่เกาะที่เกี่ยว ความศรัทธาฝากจิตฝากใจไว้กับวัตถุ หรือตัวบุคคล เช่นตัวคนรัก พ่อ แม่ เพื่อน และบุตร อีกหลายแบบอย่าง ในทางที่ว่าเราฝากจิตฝากใจไว้ เพื่อความรัก ความที่จะไม่กลัว ความเหงาโดดเดี่ยว ความปลอดภัย ความมั่นใจ และความที่ยกตนเองในแบบรู้สึกที่ทำให้ใจฮึกเหิมขึ้น นี้ก็เป็นสัญชาตญาน ดังนั้นศรัทธาความศรัทธาที่มีรูปแบบในการพึ่ง มันก็ยังเป็นลำดับบรรไดที่เยียบถีบใจตัวเองให้เหนือขึ้นไปอีก ศรัทธาที่เป็นรูปแบบโง่ คือ ศรัทธาที่งมงายนั้นระดับต่ำ ไหว้ต้นไม้ ภูเขา สัตว์เดียรฉานที่พิกลพิการ หรือ สิ่งที่แปลกๆ แม้แต่เห็ด ที่ออกมีชั้นเจ็ดชั้น เราก็ไหว้ ในที่ว่าสิ่งนั้นมันเก่งกว่าเรา จะช่วยเราตอบสนองสัญชาตญาณที่ว่ามานั้นอย่างเต็มที่ ความโลภ อยากมี อยากเด่น จะขอสิ่งใดตามความยากที่มีตัณหาก็เต็มที่ เดียวนี้ลองคิดดูมีกันเยอะหรือว่าลองมองดูตัวเรา สิ่งนั้นคือ ศรัทธาที่ขาดปัญญาที่ใช้เหตุใช้ผล นั้นคือ พวกคลั่งไสยศาสตร์. มาเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่งยังดีกว่าระดับเดิม คือ พวกที่ไหว้รูปปั้น พระพุทธรูป หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ว่าดีกว่าระดับเดิมคือมัน ใกล้ที่จะเข้าถึงพุทธศาศนา เนื้อแท้ แต่ก็ยังต้องทำความเข้าใจ ให้พ้นจากการอ้อนวอน ขอ ติดสินบนพระพุทธรูป ที่เป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า หรือ รูปคณาจารย์ที่เขาพ้นจากสิ่งโง่แบบนี้ นี้ไม่มีปัญญา มันจึงไม่ใช้พุทธ ที่เรียกว่าชาว ผู้รู้ ผู้ตื่น โดยการขอที่เรายังไม่รู้ เช่น ติดสินบนขอ ให้ตนเองสอบได้ เป็น นายร้อย นายพันนายแพทย์ เป็นอยู่ในระดับก็แล้วแต่ ขอให้รวย ขอให้คนรักคนหลง นี้กันถ้าไม่ลงมือทำมันเป็นไปไม่ได้ เช่น จะสอบ จะรวย จะมีอย่างนู้นอย่างนี้ บางคนจะตอบว่าอย่างน้อยมันไม่เสียหายอะไร เป็นกำลังใจ คุณคิดอย่างนั้นก็ได้ มันให้ผลด้านใจแน่นอนสำหรับระดับใจเรา แต่ตามความจริง มันก็ไม่เป็นตามที่เราขอได้หรอก และบางคนบางระดับ ก็ไม่มีการพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้นเลย เพราะมัวเเต่หมกหมุ่นอยู่แต่ ขอ อ้อนวอน ไม่ลงมือกระทำ เมื่อไม่ลงมือกระทำมันก็ไม่สมเหตุสมผลที่จะได้มาตามที่ขอนั้น แม้คนที่ขอเอาว่าเพื่อความสบายใจ จะได้มาหรือไม่ได้ก็ช่าง เพื่อกำลังจิตกำลังใจที่ว่าให้ฮึกเหิม,ถ้าไหว้ด้วยปัญญา ก็ต้องแบบที่เราตั้งจิตอธิษฐาน ให้พระพุทธรูปเป็นประจักษ์พยานที่เราสมมติว่านี้คือตัวแทนของพระพุทธเจ้า เช่น ในพรรษานี้ ฉันจะเลิกบุหรี่ให้ได้,ฉันยากจะรวย ต่อไปนี้ฉันจะเป็นคนขยันไม่ขี้เกียจ และจะรู้จักใช้จ่าย,อยากจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ฉันจะต้องขยันอ่านหนังสือกว่าคนอื่นๆ,ฉันอยากอายุยืน ฉันต้องออกกำลังกายและจะเลิกสิ่งเสพติด,อยากให้คนอื่นรัก ฉันต้องเป็นคนมีน้ำใจ,นี้คือ ตั้งสัจจะอธิษฐานแล้วต้องทำตามที่ตนมุ่งมั่น หรือ ไหว้ในแง่เคารพคุณธรรม บูชาความดี อย่างนี้ก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ส่วนที่ว่าไม่ได้ไหว้อย่างนี้ คือยังไม่มีปัญญา ยากที่จะพบจิตใจที่จะพบเนื้อแท้ของพุทธศาสนา ว่ามีสิ่งที่ดีกว่านี้ที่เป็นอยู่ เช่น คนเดินป่าที่ ที่มุ่งหมายจะไปหมู่บ้านที่มีความเจริญ มีชายคนหนึ่งที่เดินป่าไม่ใส่รองเท้า(เปรียบเป็นบุคคลที่มีความเชื่อเดิมๆอยู่) เหยียบยำหนาม พื้นกรวด จนเท้าเป็นแผล เพื่อนบอกว่า ฉันมีรองเท้าให้เธอใส่ ที่จะเดินทางได้เร็วขึ้น และไม่เจ็บเท้าที่ทรมาณอยู่ ไอ้คนนั้นตอบว่าฉันยอมเจ็บเท้า เพราะฉันเดินมานานแล้วชินเสียแล้ว มีรถคันหนึ่งวิ่งผ่านมาและจะจอดรับไปส่ง เพราะหนทางมันลำบากและไกลมาก ไอ้คนอื่นๆก็นั่งรถ ส่วนไอ้คนที่ไม่ใส่รองเท้าเดินเท้าเจ็บ ตอบว่า ฉันไม่ไปรถ เดินมานานแล้ว และก็ชินเสียแล้วก็จะเดินให้ถึง คนอื่นก็นั่งรถไปอย่างสบาย ไอ้คนนั้นเดินทางผ่านป่าเป็นยังไงลองคิดดู  นี้มันมีโอกาสแต่ไม่ฉลาด เพราะเคยชินที่ตนเองทำอยู่ ดังนั้นมันก็ต้องเปลี่ยนความเคยชิน ความทิฐฐิตนความเชื่อตน มานะ เสีย ที่จะเอาสิ่งที่ดีกว่าได้ ดั่งพุทธศาสนา ที่จะให้พ้นสิ่งที่งมงายไม่มีเหตุผล ให้เยียบก้าวไปสู่คุณค่าแก้นแท้ยิ่งๆขึ้นไป จนกว่าเขาอกเขาใจอะไรๆตามความเป็นจริง จนที่เรียก ว่า มีธรรมเป็นที่พึ่ง ที่ฝ่ายนามธรรม อาจจะเป็นการที่ว่าทำให้เราเขาใจอย่างชัด ที่ ว่าตนเป็นที่พึ่งของตน ในฝ่ายการดำรงชีวิต ที่งดงาม และ ฝ่ายจิตใจที่จะก้าวไปสู่ความหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งหลายทั้งสิ้นได้ นี้คือว่ามันจะเหนือไปตามลำดับจน นิพพาน     ขอบอกลองไปหาอ่านดูเรื่อง มหัศจรรย์ของจิต ของหลวงวิจตรวาทการ และท่านจะพบคำตอบอีกมากมายเป็นสิ่งที่เรามีพื้นจะเข้าใจเรื่อง สิ่งศักดิ๋สิทธิ์และจิต มากขึ้น มันคือวิทยาศาสตร์ด้านจิตที่พุทธศาสนาก็มีคำตอบ อย่าลืมว่า แม้แต่บางเรื่องที่สุดๆที่ใจเราที่มีจิตหยาบ ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าบอกว่า บางเรื่องอย่าไปคิด มัน เป็นอจิณไตย คือ สิ่งที่บุคคลทั่วไปรู้ได้ยาก เช่น วิสัย ของพระพุทธเจ้า ๑ วิสัยอิทธิ ของ ณาน ๑ การเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์เรื่องกรรม การให้ผล นี้ ๑ แม้วิทยาศาสตร์ก็ไปไม่ถึงแต่มิใช่ว่า พุทธศาสนาไม่ใช้วิทยาศาสตร์ไม่มีเหตุมีปัจจัยที่ทำให้เกิดผล แต่มันจะรู้เฉพาะตัวบุคคลที่บรรลุธรรมชั้นสูงได้เท่านั้น นี้มันละเอียด ถ้านักวิทยาศาสตร์ จะคิดเอาเหตุเอาผลมาตั้ง นี่มันเป็นบ้าได้ และนักวิทยาศาสตร์ตายพบตายเกิดหลายชาติก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ ดังนั้นจึงขอบอกว่า พระพุทธศาสนา หรือหลักธรรมที่มันลึกในทางที่บุคคลที่ปฏิบัติได้พ้นสภาพการอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างตามลำดับจิต จนได้ณานนี้แหละจึงรู้ได้ แต่มันก็เป็นวิทยาศาสตร์ ในหลักของพุทธ ว่า สิ่งใดเป็นปัจจัย สิ่งนั้นก็เกิดผล หรือ อิทัปปัจจยตา อยู่อย่างนั้นเอง.     
(ส่วนตัว ไม่ปฏิเสธ วัตถุมงคล แต่จะเก็บไว้ในแง่ที่ระลึกโดยรูปเหรียญที่เป็นรูปครูบาอาจารย์ ถือ ว่าได้เก็บความดีคุณธรรมของท่านและต่อยอดให้เราได้ศึกษา ประวัติอจริยวัตรของท่านด้วยที่จะนำไปปฏิบัติเป็นแบบอย่าง และเก็บไว้มอบให้กับบุคคลบางพวกที่เข้ายังไม่พ้นสิ่งเหล่านี้ คือ ขลัง ศักดฺสิทธิ์ ดลบันดาล เพื่อกำลังใจและสงสาร เพราะอยากจริงๆที่จะบอกจะกล่าวให้เขาเข้าใจได้ และ อย่างน้อยตัวเองก็ได้เข้ามาอยู่ในจุดนี้ เพราะวัตถุมงคล พระเครื่อง เครื่องรางของขลังที่เป็นบันได คนส่วนมากก็อาจจะต้องเริ่มผ่านจุดนี้จึงจะพ้นไปถึงระดับจิตใจที่สูงขึ้นได้ ก็แล้วแต่นิสัยบารมีที่สะสมด้วยเช่นกัน)

ภาพกิจกรรม สอนธรรมศึกษา ที่โรงเรียนเคร่งธรรมวิทยา อ.ชะอวด ต.เคร็ง วันที่ ๘-๑๒ พย.๕๓ (พระนักศึกษาจาก มจร.)

  การสอนธรรมศึกษานี้ มีความสำคัญ ที่ว่า ทั้งสอนและบอก ให้กับเยาวชน นั้นมีความคุ้นเคยกับหลักธรรมคำสอน และพิธีกรรมทางศาสนา รวมทั้งเรื่องราวทางพุทธศาสนา อื่นๆ ที่เยาวชนควรจะได้รับฟัง รับรู้ โดยจะสนใจหรือไม่สนใจ แต่ครูพระหน้าที่ สอน บอก อบรม ก็ต้องทำจนกว่าแน่ชัดว่า เยาวชนทั้งหลายจะรู้จัก พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ และศาสนพิธี ในหลักที่ว่า จะรักษาพระพุทธศาสนาไว้ กับเยาวชนที่จะเป็นผู้ใหญ่รุ่นหน้าต่อไป ไม่อย่างนั้น คนรุ่นใหม่หรือรุ่นอื่นๆในภาวะข้างหน้า อาจจะไม่เคยรู้จัก พระพุทธศาสนาเสียเลย ว่ามันคือ อะไร และมันจะค่อยๆร้างหาย เหมือนกับ พุทธศาสนาในอินเดีย หวังว่าอย่างน้อย ยังมีเด็กรุ่นนี้ที่รู้ จักพระพุทธเจ้าในแง่บุคคลทางประวัติศาสตร์ ก็ยังมีโอกาสที่เขาเหล่านั้นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ จะสามารถตียอดให้ไปถึงแก่น พุทธศาสนาได้ ขอฝากศาสนาไว้กับพวกเธอ พระสงฆ์บางส่วนที่ตระหนักถึงคุณค่าก็จะต้องทำหน้าที่ต่อไปเช่นกัน. 
                                                        อุตฺตมสาโร ภิกขุ.

วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554

กลอนธรรม พุทธทาส ศีลธรรมกลับมาเถิด

กลอนธรรม พุทธทาส ภิกขุ ชุด ศีลธรรม

ความหมายของศีลธรรม
  • ศีลธรรม ความปกติ ตามธรรมชาติ
    ศีลธรรม ตามอำนาจ คนจัดสรร
    ศีลธรรม คือสุข-สะดวก บวกเข้ากัน
    ศีลธรรม คนทุกวัน หันหัวลง
  • ศีลธรรม นำปุถุชน ดลอริยะ
    ศีลธรรม รวมฐานะ ที่พึงประสงค์
    ศีลธรรม ทุกทุกส่วน ล้วนเส้นตรง
    ศีลธรรม นำสูงส่ง ตรงต่อญาณ
  • ศีลธรรม ปริยัติ จัดฐานราก
    ศีลธรรม มีวิบาก ล้วนสุขศานติ์
    ศีลธรรม สะอาด สว่าง สงบ บรรจบงาน
    ศีลธรรม ส่วนอวสาน นิพพานแล ฯ

ศีลธรรมกลับมาเถิด!
  • กลับมาเถิด ศีลธรรม กลับมาเถิด!
    กำลังเกิด ภัยร้าย อันใหญ่หลวง
    แก่สัตว์โลก ทั่วถิ่น จักรวาลปวง
    น่าเป็นห่วง ความพินาศ ฉกาจเกิน
  • กลับมาเถิด ศีลธรรม กลับมาเถิด!
    ในโลกเกิด กลียุค อย่างฉุกเฉิน
    หลงวัตถุ บ้าคลั่ง เกินบังเอิญ
    มัวเพลิดเพลิน สิ่งกาลี มีกำลัง
  • กลับมาเถิด ศีลธรรม กลับมาเถิด!
    ความเลวร้าย ลามเตลิด จวนหมดหวัง
    รีบกลับมา ทันเวลา พาพลัง
    มายับยั้ง โลกไว้ ให้ทันกาล ฯ


ศีลธรรมกับคน  
  • ศีลธรรมเลว คนก็ได้ กลายเป็นผี
    หาความดี ไม่ประจักษ์ สักเส้นขน
    ศีลธรรมดี ผีก็ได้ กลายเป็นคน
    ที่เลิศล้น ภูมิใจ ไหว้ตัวเอง
  • ศีลธรรมต่ำ เปลี่ยนคน จนคล้ายสัตว์
    จะกินกัด โกงกัน ขมันเขม็ง
    ศีลธรรมสูง คนสดใส ไม่อลเวง
    ล้วนยำเกรง กันและกัน ฉันเพื่อนตาย
  • ศีลธรรมนี้ ทุกวัน มันตายซาก
    คนมีปาก ก็ไม่พล่าม ศีลธรรมหาย
    ศีลธรรมกลับ มาเมื่อไร ทั้งใจกาย
                                                คนจะหาย จากทุกข์ เป็นสุขเอง ฯ


ถ้าศีลธรรมไม่กลับมา
  • ถ้าศีลธรรม ไม่กลับมา โลกาวินาศ
    มนุษยชาติ จะเลวร้าย กว่าเดรัจฉาน
    มัวหลงเรื่อง กิน กาม เกียรติ เกลียดนิพพาน
    ล้วนดื้อด้าน ไม่เหนี่ยวรั้ง บังคับใจ
  • อาชญากรรม เกิดกระหน่ำ ลงในโลก
    มีเลือดโชก แดงฉาน แล้วซ่านไหล
    เพราะบ้ากิน บ้ากาม ทรามเกินไป
    บ้าเกียรติก็ พอไม่ได้ ให้เมาตน
  • อยากครองเมือง ครองโลก โยกกันใหญ่
    ไม่มีใคร เมตตาใคร ให้สับสน
    ขอศีลธรรม ได้กลับมา พาหมู่คน
    ให้ผ่านพ้น วิกฤตการณ์ ทันเวลา ฯ

วันพุธที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2554

50 นิยามแห่งรัก ความรักคืออะไร

   
50 นิยามแห่งความรัก  ความรักคือสิ่งงดงาม ถ้ารักให้เป็น

1.. ความรัก คือ โชคอย่างหนึ่ง เพราะใช่ว่าทุกคนจะมีได้
2.. ความรัก เป็นได้ทั้งมือเเละผ้าพันเเผลเวลาเสียใจ
3.. ความรัก คือ สิ่งเติมเต็มให้ชิวิตไม่รู้สึกขาดอะไรไปอย่างนึง
4.. ความรัก คือ ความหวัง กำลังใจ เเละศรัทธาในกันเเละกัน
5.. ความรัก มีความลับอยู่อย่างหนึ่งว่า ไม่ได้รักในสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขเเต่มีความสุขในสิ่งที่เรารักต่างหาก
6.. ความรัก คือ ศิลปะที่คนมีรักเท่านั้น ที่จะเข้าใจเเละเห็นคุณค่า
7.. ความรัก คือ โอกาสที่เราจะได้พิสูจน์จิตวิญญาณของตัวเอง
8.. ความรัก คือ สิ่งที่ทำให้คนฉลาดกลายเป็นคนโง่ ทำให้คนโง่กลายเป็นคนฉลาด
9.. ความรัก เมื่อสูญเสียไปเเล้ว ก็ยังดีกว่าไม่เคยรัก
10.. ความรัก มิได้เป็นการก้าวนำหรือก้าวตาม เเต่เป็นการก้าวไปพร้อม ๆ กัน
11.. ความรัก ทำให้คนเราเป็นอิสระ จากกฎเกณฑ์เดิม ๆ ของชีวิต
12.. ความรัก ทำให้จดจำคืนพิเศษคืนเดียวไปตลอดชีวิต เพราะทุกคืนที่ไร้ความรัก ก็มิอาจเทียบเท่าได้กับคืนนี้เพียงคืนเดียว
13.. ความรัก คือ การยอมเป็นน้ำเย็น ในขณะที่อีกฝ่ายร้อนเป็นไฟ
14.. ความรัก ที่มีมาเป็นปี ๆ ก็สามารถพังทลายลงได้เพียงเสี้ยววินาที
15.. ความรัก จะยาวนานหรือจะเเสนสั้นทุกอย่างขึ้นอยู่กับวิธีที่รัก
16.. ความรัก กว่าจะพบเจอได้นั้นเเสนยาก อย่าให้มันจบสิ้นเพียววันเดียว
17.. ความรัก สามารถเกิดขึ้นใหม่ได้ตลอดเวลา เหมือนถ่านไฟเก่าที่กำลังคุโชน
18.. ความรัก ต่อให้บอกกันทุกวันว่ารักก็ไม่มีคำว่ามากเกินไปหรอก เเต่... ความเกลียดสิบอกกันครั้งเดียวก็คงไม่อยากได้ยินอีกต่อไป
19.. ความรัก ถ้าไม่รักเเล้วต่อให้พูดมากเท่าใดก็ไม่สามารถรักกันได้
20.. ความรัก สามารถให้อภัยกันได้เสมอโดยไม่มีเงื่อยไขว่ากี่ครั้ง
21.. ความรัก รักได้เเต่อย่าหลงเพราะถ้าหลงเวลาเลิกเเล้วจะเจ็บปวด
22.. ความรัก อยู่เหนือคำทำนายเเละจะไม่มีวันเป็นไปตามคำพยากรณ์ได้
23.. ความรัก คือ สิ่งแปลกใหม่ที่จะทำให้มุมมองของคุณเปลี่ยนไปจากเดิม
24.. ความรัก ทำให้คุณอยู่นิ่งๆเงียบๆได้นานกว่าเดิม
25.. ความรัก คือ สิ่งที่ทำให้เกิดประกายไฟในหัวใจ
26.. ความรัก คือ การเริ่มคิดเป้าหมายเเห่งชีวิต
27.. ความรัก คือ การร่วมฝัน ร่วมปันใจเเละก้าวไปในชีวิต
28.. ความรัก คือ การอยู่เคียงข้างกันเสมอไม่ว่าอีกฝ่ายจะตกต่ำเพียงใด
29.. ความรัก ไม่ว่าจะเป็นเเบบไหนยังไงมันก็ต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
30.. ความรัก เป็นนามธรรมที่มองไม่เห็นเเต่สัมผัสไได้ด้วยหัวใจ
31.. ความรัก ทำให้วันเลวร้ายไม่เป็นวันเลวร้ายที่สุด
32.. ความรัก ทำให้วันที่เเสนเศร้ากลายเป็นวันที่สุขที่สุดได้
33.. ความรัก เป็นสมบัติล้ำค่าที่ไม่สามารถจะหาได้ง่ายตามท้องถนน
34.. ความรัก ทำให้อะไรดีงามได้เสมอ
35.. ความรัก ที่รีบร้อนมักจะพบกับจุดสิ้นสุดได้รวดเร็วเสมอ
36.. ความรัก คือ สิ่งที่เเม้จะทำความเจ็บปวดให้ เเต่ก็ไม่มีใครที่กลัวหรือเกลียดชังความรัก
37.. ความรัก ไม่ได้จบลงเเค่การเเต่งงานหรือมี SEX เท่านั้น
38.. ความรัก คือสิ่งที่คุณจะพบได้เองโดยมิต้องเเสวงหา
39.. ความรักคือ สิ่งที่ยืนยาวกว่าชีวิตคนคนนึง
40.. ความรัก ส่วนมากมักจะเติบโตมาจากความเป็นเพื่อน เเละมักจะยืนยาวเสมอ
41.. ความรัก ในยามเเรกรัก คือช่วงเวลาของรักที่หวานหอมมากที่สุด
42.. ความรัก ครั้งเเรกเเละครั้งสุดท้ายมักจะเป็นรักในตนเอง
43.. ความรัก ทำให้คนกลายเป็นกวี
44.. ความรัก ไม่ใช่การมองตากัน เเต่เป็นการมองไปในทิศทางเดียวกัน
45.. ความรัก ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ไม่มีคำว่าสายไป
46.. ความรัก คือสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในชีวิตคุณ
47.. ความรัก ทำให้ทุกอย่างสว่างเเละสดใส
48.. ความรัก คือการพึงพอใจในสิ่งที่รัก
49.. ความรัก จะมีคุณค่าได้ต่อเมื่อ คนที่รักต้องให้เกียรติ์ซึ้งกันเเละ  กัน
50.. ความรัก บางทีก็เป็นสะพานทอดไปสู่การเเต่งงาน

   รักแท้คือแบบไหน ไปดูบทความที่โพสไว้เมื่อครั้งก่อน หรือคุณมีนิยามรักของตัวเอง แสดงความคิดเห็นมาได้ และจะเพิ่มให้ในบทความ

วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554

เหตุแห่งรัก บุพเพสันนิวาส


เหตุแห่งความรัก

ปุถุชนผู้ยังละกิเลสไม่ได้ เกิดมาก็ย่อมต้องมีความรักทั้งหญิงและชาย พระพุทธเจ้าทรงแสดงเหตุที่ทำให้หญิงชายรู้สึกรักกันไว้ใน สาเกตชาดก พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๙ ดังนี้

“ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เหตุไรหนอ เมื่อบุคคลบางคนในโลกนี้พอเห็นกันเข้าก็เฉย ๆ หัวใจก็เฉย บางคนพอเห็นกันเข้า จิตก็เลื่อมใส ”

“ ความรักนั้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ ด้วยการอยู่ร่วมกัน ในกาลก่อน ๑ ด้วยความเกื้อกูลต่อกันในปัจจุบัน ๑ ”

เหมือนดอกอุบลและชลชาติ เมื่อเกิดในน้ำ ย่อมเกิดเพราะอาศัยเหตุ ๒ประการ คือน้ำและเปือกตม ฉะนั้น ”

จึงจะเห็นว่าการที่หญิงชายมารักกัน ชอบกัน และอาจได้อยู่ร่วมกันนั้นไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่มีปัจจัยมาจาก ๒ ประการดังที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเหตุให้รู้ แต่ก็ยังมีข้อสงสัยที่เกี่ยวเนื่องกับความรัก คู่ครอง เนื้อคู่ ฯลฯ อีกมากมาย
บุพเพสันนิวาส คือ การได้เคยอยู่ร่วมกันในอดีตชาติ จนส่งผลให้ได้มาเป็นคู่ครองกันในปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่จะคิดว่าเคยอยู่ร่วมกันเป็นสามีภรรยาเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วบุพเพสันนิวาสหมายถึงการที่อาจจะได้อยู่ร่วมกันในฐานะอื่นก็ได้ เช่น พี่กับน้อง พ่อกับลูก แม่กับลูก เพื่อครูกับศิษย์ นายกับบ่าว เป็นต้น การที่มีบุพเพสันนิวาสร่วมกันนี้เมื่อเกิดมาร่วมกัน ก็มักจะสร้างบุญสร้างกุศลร่วมกันมา ทำอะไรตามกัน มีความเห็นสอดคล้องกัน ทำให้อยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข

เนื้อคู่ คือ หญิงและชายที่เคยได้ใช้ชีวิตร่วมกัน เป็นสามีภรรยากันมาก่อนในอดีตชาติ

คู่ครอง คือ หญิงและชายที่ใช้ชีวิตร่วมกัน เป็นสามีภรรยากันในชาติปัจจุบัน

คู่กรรม คือ หญิงและชายที่ใช้ชีวิตร่วมกันเป็นสามีภรรยา แต่มักไม่มีความสุข

เนื่องจากการมาอยู่ร่วมกันนั้นเกิดจากวิบากของกรรมที่ทำร่วมกันหรือวิบากกรรมที่มีต่อกันมาส่งผล เช่น อาจเคยทำบาปร่วมกัน หรือเคยเป็นศัตรูกันมาก่อนเป็นต้น

คู่บารมี คือ เนื้อคู่ที่ได้ติดตามกันมา ส่งเสริมกันและกันในทางที่ดี ได้ใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะสามีภรรยาร่วมกันนับชาติไม่ถ้วน และจะติดตามกันต่อไปจนกว่าจะสามารถหลุดพ้นจากวัฏสงสารได้ มักใช้คำนี้กับพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีกับเนื้อคู่ลำดับ ๑ ที่จะได้เป็นคู่ครองกับในชาติสุดท้าย

เหตุแห่งการได้อยู่ร่วมกัน

ดังที่พระพุทธองค์ได้แสดงเหตุที่หญิงชายได้รักและได้เป็นสามีภรรยากันนั้นมี ๒ ปัจจัย คือ

• การได้อยู่ร่วมกันในกาลก่อน

• การได้เกื้อหนุนกันในชาติปัจจุบัน

เนื่องจากวัฎสงสารยาวไกลจนหาจุดเริ่มต้นและที่สุดไม่ได้ หญิงชายแต่ละคนจึงมีเนื้อคู่มากมายเป็นแสนคน แต่ละชาติที่เกิดมาก็อาจได้พบเจอเนื้อคู่ได้หลาย ๆ คนพร้อมกัน หรืออาจไม่ได้เจอเนื้อคู่เลยสักคนก็เป็นได้ กรณีที่ไม่เจอเนื้อคู่เลยนั้น หญิงชายนั้นก็อาจมีคู่ได้กับบุคคลใกล้ชิดที่ได้เกื้อหนุนกันในปัจจุบัน ซึ่งเมื่อได้เป็นคู่กันในปัจจุบันแล้วหญิงชายนั้นก็จะได้เป็นเนื้อคู่กันต่อไป

รักวันวาเลนไทม์ (๑๔ กุมภา ๕๔ รักให้ถูกต้องและเรียกวา่รักจะต้องเป็นแบบใด)

.วชิรเมธี เตือนวัยรุ่นรักด้วยสมอง มีให้เลือก 4 แบบ กลัวตาย-ใคร่-เมตตา-ให้
 พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตยาลัย เตือนเด็กและเยาวชนในวันวาเลนไทน์ว่า ความรักเป็นได้ทั้งความสุขและความทุกข์ เป็นทั้งความหวังและสิ้นหวัง เป็นทั้งอนาคตและมืดมิด ถ้ารักด้วยสมองความรักจะนำสิ่งดี ๆ มาให้  ถ้ารักจนขึ้นสมอง ความรักจะนำสิ่งเลวร้ายมาให้แก่เรา
ดังนั้น ความรักจะเป็นสิ่งที่ล้ำเลิศหรือความทุกข์ตรมขึ้นอยู่กับว่ารักด้วยสมอง หรือรักแบบขึ้นสมอง  และต้องไม่ยึดติดว่าความรักมีเพียงมิติเดียว คือความรักเชิงชู้สาวเท่านั้น แต่ความรักมีหลายมิติ เปรียบเสมือนบันไดต้องเดินขึ้นไปทีละขั้น จนถึงความหมายของความรัก นั่นคือความสุข ถ้ารักแล้วมีความทุกข์พัฒนาการของความรักยังไม่สมบูรณ์
สำหรับความรักมี 4 แบบ คือ 1. รักตัวกลัวตาย รักชนิดนี้ถ้ามีมาก ๆ จะทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว 2. รักใคร่ปรารถนา อิงกับสัญชาติญาณการสืบพันธุ์ ความรักชนิดนี้จะทำให้เกิดความลุ่มหลง กามารมณ์ หนุ่มสาวจะยึดความรักชนิดนี้เป็นที่พึ่งของชีวิต  ยึดติดความใคร่มาใช้ในนามของความรัก จนกลายเป็นความโลภ คือ อยากจะครอบครองใครสักคนให้อยู่ในความควบคุมของเรา  พอควบคุมไม่ได้ความรักก็กลายเป็นความร้ายเป็นโศกนาฏกรรม  เช่น  ทำร้ายคนรัก เผยแพร่คลิปคนรัก สาดน้ำกรดคนรัก เป็นต้น  3.รักเมตตาอารี ให้เห็นคนทั้งโลกว่าเป็นมิตรแก่เรา และ 4.รักมีแต่ให้ คือเป็นผู้ให้ รักปัญญาชนไม่คิดจะทำร้ายใคร ไม่หวังผล และพัฒนาจนปลายทางของความรักแท้
ทั้งนี้  เนื่องในวันวาเลนไทน์ ขอให้เยาวชนคนไทยทั้งหลายยึดความรักที่ถูกที่ควร  เป็นแนวทางปฏิบัติ ไม่ใช่ไปจมติดกับความรัก

ฟังธรรมะกับฟังเพลง (บทความเก่ามาเล่าใหม่ สนุกๆ)

ท่านพระมหาสมปอง ตาลปุตโต ฝากถึงนักเรียนว่าระหว่างฟังธรรมะกับฟังเพลง
 + ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่โง่
เเต่ถ้าฟังโปเตโต้ ถึงมีรักเเท้เเต่ก็ดูเเลไม่ได้

+
ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ตาใส่เเจ่ม
เเต่ถ้าฟังบอดี้เเสลม มักจะโทษว่าความรักทำให้คนตาบอด

+
ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่เพ้อเจ้อ
เเต่ถ้าฟังพีชเมกเกอร์ จะละเมอถึงเเต่เรื่องบนเตียง

+
ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ปากเราติดดิสเบรก
เเต่ถ้าฟังเบิร์ด-เสก ถึงอมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ

+
ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ใจเราชอกช้ำ
เเต่ถ้าฟังไอน้ำ จะชอกช้ำเพราะรักคนมีเจ้าของ

+
ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่เหงาหงอย
เเต่ถ้าฟังเสนาหอย จะเเอบเหงาคนเดียว

+
ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่งมงายในความเชื่อเเละศรัทธา
เเต่ถ้าฟังทาทา มักจะพูดว่า ไอ บีลีฟๆ

+
ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้รักกันอย่างไม่ต้องนอนละเมอ
เเต่ถ้าฟังไฮเปอร์ มักจะเจอรักแท้ในคืนหลอกลวง

+
ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ใจไม่เน่าเสีย
เเต่ถ้าฟังนัท มีเรีย มักจะโทษว่า รักไม่ช่วยอะไร

+
ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้รักกันจนสิ้นชีวิน
เเต่ถ้าฟังเอนโดรฟิน เเล้วจะบอกว่า ถ้าเขามาฉันจะไป

+
ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้เราไม่คุยโม้
เเต่ถ้าฟังโปเตโต้ จะถูกต่อว่าปากดีนะเรา

+
ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้เรามีสุขเมื่ออยู่ด้วยกัน
เเต่ถ้าฟังน้องพั้นซ์ เพียงเเค่วางมือบนบ่าน้ำตาก็ไหล

+
ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้เราเจอคนดีเสมอ
เเต่ถ้าฟังไฮเปอร์ มักจะเจอผู้ร้ายคนใหม่

+
ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้เราเข้าใจกัน
เเต่ถ้าฟังน้องพั้นซ์ บอกได้คำเดียวว่า ยิ่งกว่าเสียใจ

+
ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้เรารักกันยิ่งกว่าชีวิน
เเต่ถ้าฟังเอนโดรฟิน จะเป็นได้เเค่เพื่อนสนิท

+
ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้จิตใจใสเเจ่ม
เเต่ถ้าฟังว่าน วงเเพลม จะตัดพ้อต่อว่า ไม่บอกให้รู้สักเรื่องได้ไหม

+
ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่เเรด
เเต่ถ้าฟังบิ๊กเเอส มักจะเล่นของสูง

+
ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่หยิ่งยะโส
เเต่ถ้าฟังติ๊ก ชีโร่ จะโอหังว่า รักไม่ยอมเปลี่ยนเเปลง

+
ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้จิตใจเปล่งปลั่ง
เเต่ถ้าฟังอาหรั่งจะคุ้มคลั่งว่า ทำบ้า....ทำบ้าอะไร

+
ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ดีที่ใจมิใช่เพียงเเค่หน้าตา
เเต่ถ้าฟังปนัดดา ก็จะรู้เพียงว่า ขอเป็นคนเลวที่รักเธอ

+
ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ใจไม่สั่นคลอน
เเต่ถ้าฟังสุนทราภรณ์ เเล้วเธอจะรู้สึก!!

+
ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่เปลืองเเรง
เเต่ถ้าฟังพรศักดิ์ ส่องเเสง จะเปลืองเเรง เพราะมีเมียเด็กต้องหมั่นตรวจเช็คใครโทรมา

+
ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้สอบผ่านทุกๆปี

เเต่ถ้าฟังเเอน สุชาวดี มักจะติดร.วิชาลืม

ต้นแอปเปิ้ลกับเด้กน้อย (อ่านแล้วประทับใจ เตือนสติให้เราเห็นความสำคัญ กับคนทีเขารักเรา)

เรื่องเล่า สอนแง่คิด โดยสายลม
ต้นแอปเปิ้ล กับ เด็กน้อย
นานมาแล้ว มีต้นแอปเปิ้ลใหญ่อยู่ต้นนึง       
และก็มีเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ คนนึง
ชอบเข้ามาอยู่ใกล้ๆและเล่นรอบๆต้นไม้นี้ทุกๆวัน
 เขาปีนขึ้นไปบนยอดของต้นไม้ และก็กินผลแอปเปิ้ล 



และก็นอนหลับไปภายใต้ร่มเงาของต้นแอปเปิ้ล
เขารักต้นไม้ และต้นไม้ก็รักเขา
เวลาผ่านไป เด็กน้อยโตขึ้น และเขาไม่มาวิ่งเล่นรอบๆต้นไม้ทุกวันอีกแล้ว
วันหนึ่ง เด็กน้อย กลับมาหาต้นไม้ เด็กน้อยดูเศร้า
มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอต้นไม้ถาม
ฉันไม่ใช่เด็กเล็กๆแล้วนะ ฉันไม่อยากเล่นรอบๆต้นไม้อีกแล้ว
 ฉันต้องการของเล่น ฉันอยากได้เงินไปซื้อของเล่นเด็กน้อยตอบ

ฉันไม่มีเงินจะให้ ….เก็บลูกแอปเปิ้ลของฉันไปขายสิ
เพื่อเอาเงินไปซื้อของเล่น ต้นไม้ตอบ


เด็กน้อยตื่นเต้นมาก เขาเก็บลูกแอปเปิ้ลไปหมด และจากไปอย่างมีความสุข
หลังจากเขาเก็บแอปเปิลไปหมดแล้ว เขาไม่กลับมาหาต้นไม้อีกเลย
ต้นไม้ดูเศร้า……
วันหนึ่ง เด็กน้อยกลับมา  เขาดูโตขึ้น
ต้นไม้รู้สึกตื่นเต้นมาก
มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอต้นไม้ถาม
“ฉันไม่มีเวลามาเล่นหรอก ฉันมีครอบครัวแล้ว
ฉันต้องทำงานเพื่อครอบครัวของฉันเอง
เราต้องการบ้าน ช่วยฉันได้ไหม”


ฉันไม่มีบ้านจะให้ แต่ตัดกิ่งก้านของฉันไปสิ ….เอาไปสร้างบ้าน” 
ดังนั้นเด็กน้อยตัดกิ่งก้านทั้งหมดของต้นไม้ไป และจากไปอย่างมีความสุข
อีกครั้งที่ต้นไม้ถูกทิ้งให้เดียวดาย และเศร้า….
วันหนึ่งในฤดูร้อน เด็กน้อยกลับมา ต้นไม้ดีใจมาก
มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอต้นไม้ถาม
เปล่า ฉันรู้สึกผิดหวังกับชีวิต และเริ่มแก่ขึ้น
ฉันอยากแล่นเรือไปพักผ่อนไกลๆ ให้เรือฉันได้ไหม
ใช้ลำต้นของฉันได้ เอาไปสร้างเรือ เพื่อเธอจะได้เล่นเรือไปและมีความสุข
ต้นไม้ตอบ


ดังนั้น เด็กน้อยตัดลำต้นของต้นไม้ไปสร้างเรือ
เขาล่องเรือไป และไม่เคยกลับมาอีกเลย
หลายปีผ่านไป ในที่สุดเด็กน้อยกลับมา
คราวนี้เขาดูแก่ลงไปมาก
“ฉันเสียใจ ฉันไม่เหลืออะไรจะให้อีกแล้ว
ไม่มีผลแอปเปิ้ลให้ ….ฉันไม่มีลำต้นให้ปีนอีกแล้ว”
ฉันไม่มีฟันจะกินแล้ว
ฉันปีนไม่ไหว และฉันก็แก่แล้วเด็กน้อยตอบ


ฉันไม่มีอะไรเหลือให้อีกแล้ว สิ่งเดียวที่เหลือ มีเพียงรากที่กำลังจะตาย
ตอนนี้ฉันไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แค่อยากได้ที่พักพิง ฉันเหนื่อยมาหลายปีแล้ว
รากของต้นไม้แก่ๆ จะเป็นที่พักพิงของหนูได้
…… มาสิ นั่งลงข้างๆฉัน หลับให้สบาย…..”
เด็กน้อยนั่งลงข้างๆ ต้นไม้ดีใจ ยิ้มและน้ำตาไหล……..
นี่เป็นเรื่องสำหรับทุกๆคน  ต้นไม้ในเรื่องคือพ่อแม่
เมื่อเราเป็นเด็กตัวเล็กๆ  เรารักที่จะเล่นกับพ่อกับแม่
เมื่อเราโตขึ้น  เราทอดทิ้งพ่อ และแม่  และกลับมาหาท่าน
เมื่อเราต้องการบางสิ่งบางอย่าง หรือเมื่อเรามีปัญหา
ไม่ว่าอย่างไรพ่อ และแม่ของเราก็จะอยู่และให้ทุกสิ่งอย่างที่ท่านทำได้
หวังเพียงเรามีความสุข

คุณอาจจะคิดว่า เด็กน้อยในเรื่องโหดร้าย
แต่นั่นคือความจริงที่สะท้อนให้เห็นว่าพวกเราทำกับผู้มีพระคุณอย่างไร?
…….. แล้วต้นไม้ของคุณล่ะ ……. เด็กน้อย …..

นิทานสั้นเเง่คิดสอนใจ จากผีเสื้อ (อ่านดู และคุณจะรู้ว่าชีวิตที่แข็งแกร่งต้องเป็นแบบใด) และฟังเพลงดอกไม้กับผีเสื้อ

เรื่องเล่าแฝงแง่คิด โดย สายลม
  นิทานจากผีเสื้อ
ของตัวอ่อนผีเสื้อ




มีตัวอ่อนของผีเสือเด็กหนุ่มกำลังมองดูอยู่ เขาเฝ้าจับตาความคืบหน้ามาตลอดกระทั่งได้เห็นรอยปริขนาดเล็กปรากฏอยู่ที่ผิวภายนอก ชายคนนั้นจึงนั่งลงและเฝ้าจับตามองความเคลื่อนไหวของตัวอ่อนผีเสื้ออยู่นานหลายชั่วโมงเขาเห็นมันพยายามดิ้นรนจะพ้นจากช่องเล็กๆของรังไหมให้ได้แต่เมื่อไม่สำเร็จเจ้าตัวน้อยก็หยุดการเคลื่อนไหวเหมือนจะยอมรับว่าไม่อาจขืนทำอะไรไปมากกว่านั้น
      เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะช่วยตัวอ่อนแล้ว..ชายคนนั้นจึงหยิบกรรไกรขึ้นมาตัดเปิดช่องรังไหม
จนกว้างพอที่ตัวอ่อนจะสามารถออกมาได้อย่างง่ายดาย ตัวอ่อนผีเสื้อน้อยจึงออกมาเผชิญโลกทั้งสภาพร่างกายบวมกลม ตรงข้ามกับปีกที่มีขนาดเล็กนิดเดียว! แต่เขาก็เฝ้าจับตามองตัวอ่อนนั้นต่อไป ด้วยความหวังว่า อีกไม่ช้าปีกของมันจะขยายใหญ่ขึ้นและแข็งแรงพอจะพยุงร่างกายมันได้เมื่อถึงเวลาอันควร  ต่เมื่อเวลาผ่านไป กลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง! ผีเสื้อน้อยต้องเดินและคลานไปมาทั้งชีวิต
ด้วยสภาพร่างกายบวมกลม และ ปีกแห้งเล็กที่ไม่มีโอกาสจะบินได้ภายใต้การดูแลอย่างอ่อนโยนของชายผู้หวังดี
สิ่งที่ชายคนนี้ไม่เคยเข้าใจก็คือ ธรรมชาติได้กำหนดมาแล้วว่าตัวอ่อนจะออกไปเผชิญโลกได้
ก็ต่อเมื่อของเหลวในร่างกายลดน้อยลงจนลำตัวมีขนาดสมดุลกับปีกเท่านั้นจึงจะสามารถลอดออกจากช่องว่างขนาดเล็กของรังไหมได้สำเร็จและถ้าตัวอ่อนได้ผ่านการดิ้นรนจนถึงเวลานั้นมันจึงจะเติบโตเป็นผีเสื้อที่พร้อมโบกบินจากรังได้อย่างอิสระโดยแท้
การมีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องผ่านอุปสรรคใด ๆ เลยจึงมีแต่จะทำให้เราพิการและไม่แข็งแรง
 การดิ้นรนฝ่าฟันอุปสรรคต่างหาก ที่เป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินชีวิต
ซึ่งจะช่วยให้เรายืนหยัดอยู่ได้อย่างแข็งแกร่ง  เพราะอย่างนั้นภูมิใจกับการดิ้นรนในวันนี้เถอะ....
ถ้าคุณหวังจะไปให้ถึงวันดีๆ ของชีวิตที่สามารถโบยบินได้อย่างเสรี...
        
ดังนั้น...สู้ต่อไป...จะได้เป็นผีเสื้อที่แข็งแกร่ง
คุณได้แง่คิดดีๆอะไรบ้างที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณ หรือ เพิ่มปรัญญาให้กับคุณ ช่วยแสดงความคิดเห็น

วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554

ปริญญาทางโลกที่ ควรจะเป็น

    ปริญญาที่ทำประโยชน์ ถ้าจะพูดกันในการศึกษาของทางโลก เราทุกคนส่วนใหญ่ก็จะมีการยอมรับ การยอมรับว่าเรียนจบ อย่างนั้น อย่างนี้ และ ที่ดี คือ การได้ทำงานในสิ่งที่เราได้เรียนมา ความภูมิใจ มันมีขึ้น ต่อ ตนเอง และ คนอื่นๆที่คอยมีส่วนเกี่ยวข้อง ดีใจไปด้วย เมื่อสิ่งที่มนุษย์ในโลกส่วนใหญ่ ได้เติบโตมาด้วยการศึกษา แบบใดก็ตาม ที่จะเรียกว่า ทำให้ชีวิตของตน ดำรงอยู่ได้ ตามภูมิรู้ของตนเอง ชาวนา เรียนรู้ การปลูกข้าว ก็ ไปสู่การดำเนินชีวิต  นักศึกษาเรียนจบทนาย ก็ไปสู่การดำเนินชีวิต แบบ หน้าที่การงานแบบทนาย อะไรก็แล้วแต่ ถ้านำมาใช้จากการเรียนรู้และเอาตัวรอด ถือว่าเป็นการดำเนินชีวิตหมด แม้แต่การมีความรู้เพื่อเพิ่มสิ่งที่ยกระดับตัวเองขึ้น จากคนทั่วไป ในความรู้สึกของตน ว่าสังคมเขามองกันว่าผู้มีการศึกษาอยู่ในฐานะชนชั้นสูง กันเสียอย่างนั้น การศึกษาแบบใดๆก็ตาม ที่นำไปสู่การยกตนเองและการเอาตัวรอด ถ้าเป็นไปด้วยศีลธรรมหรือจะเป็นคุณธรรม ยังเป็นการยอมรับที่เป็นประโยชน์ของตัวเองและสังคมอยู่ เช่น การเป็นแพทย์ ที่จะดำรงตนให้มีหน้าที่ตำแหน่งสูงๆขึ้นอีก โดยการทำหน้าที่ของแพทย์ อย่างดีที่สุด  นักการเมือง ที่จะยกตนให้เป็นที่ยอมรับของประชาชน ก็ต้องทำหน้าที่ เห็นประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ อาชีพการศึกษาใดก็แล้วแต่ ถ้า หวังความเจริญของตนเอง และสังคม ในการที่จะได้มาอย่างถูกต้อง ในทางพระเรียกว่า สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ อย่างนี้เราจะเรียกชีวิต ตนเอง ว่า เกิดมาเป็นประโยชน์ ไม่เสียชาติเกิด อย่างนี้ก็เป็น คำตอบ ส่วนหนึ่ง ของปถุชน ในคำถาม ที่เรียกว่า เกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร ก็จะตอบว่า เกิดมาเพื่อทำประโยชน์ ต่อสังคม ต่อตนเองและผู้อื่น อย่างที่จะสามารถให้ความเป็น ปกติสุข หรือให้การพึ่งพาของคนอื่นได้ในการดำเนินชีวิต อย่างที่เราจะคิดว่า ที่เราอยู่มาได้ในปัจจุบันนี้ ก็เพราะการทำประโยชน์ ของคนที่ไม่เห็นแก่ตัว มาเมื่อก่อน จะเรียกว่าบรรพบุรุษก็ได้ ที่นี้ก็ สรุปว่า การศึกษา ที่มีศีลธรรมเท่านั้นที่จะควบคู่ไปกับการทำงาน อย่างเห็นแก่ประโยชน์ ในจุดมุ่งหมายของบทบาทที่ตนได้รับอย่างมีความพอใจ และมีความสุข ในตัวเองและคนอื่น ที่เรียกว่า คนในสังคม นั้นแหละ คือ หัวใจของ การศึกษา และการทำงาน อย่างที่สุด. 

วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2554

รากไทย วัฒนธรรม ที่สมควรอ่าน และฟัง

    ความเป็นไทย ทีอยู่ในปัจจุบันนี้ จะรักษามาในรูปแบบของการสื่อ ทางบุคคล และ วัตถุสิ่งของ ซึ่งบางประเทศเขาไม่ได้มีเอกลักษณ์ทางเป็นวัฒนธรรมที่มีอยู่ เช่น อเมริกา เป็นประเทศพึงเกิดกว่าร้อยปี แต่มีความเจริญ เพราะมีจุดยืนของเขาอยู่ วัฒนธรรมที่โดดเด่น ปัจจุบันในหลายประเทศก็จะต้องการนำเสนอ ความดำรงไว้ซึ่งประเทศของเขา มาหลายวิธี แต่ที่มีอิทธิพลมาก คือทางสื่อ ทีวี เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น เวียดนาม และ อีกหลายประเทศ นั้นคือ การดำรงไว้ซึ่งเอกลักษ์ของการมีอยู่อันงดงามของเขา ประเทศที่มีจุดยืนทางวัฒนธรรม จะค่อยๆมีความเจริญขึ้น เพราะเป็นการดำรงสิ่งที่ดีงามความเป็นพื้นเดิมของเขา แต้ต้องทิ้ง วัฒนธรรม อันเลวร้าย เท่านั้นที่จะเป็น ความเจริญได้ วัฒนธรรมคือสิ่งที่ดำรงสืบทอดกันมา ในหลายรูปแบบ เช่น การไหว้ การเคารพนอบน้อม การต้อนรับ การใช้ภาษาพูดสื่อสาร และความเป็นอยู่ในด้านต่างๆของแต่ละพื้นเพ อาหาร การแต่งกาย รวมถึงประเพณีหลัก และทางเอกลักษ์ทางที่อยู่ ในส่วน ปัจจัยสี่ คือ สิ่งที่มีวัฒนธรรมแทรกอยู่ด้วย เช่นกัน ทั้งจะเป็นวัฒนธรรมพื้นบ้าน เเละ วัฒนธรรมนิยม การใช้สื่อทางใดทางหนึ่งในการที่จะให้เขารู้ว่า ความเป็นประเทศเรานั้นยังมีอยู่ ควรจะตั้งจุดยืนอันมั่นคง และเห็นความสำคัญ และต้องมาในการสื่อควบคู่ไปพร้อมศีลธรรมด้วย ถึงจะเรียกว่าเป็นประเทศที่งดงามได้ แม้กาลเวลาแห่งสิ่งที่เข้ามาในความเจริญด้านอื่นๆ ถ้าเป็นสิ่งที่จะปรับให้เข้ามารวมกับ แง่ที่จะเป็นศีลธรรมได้ ที่เรียกว่า การให้มี การประพฤติทางกายอันงดงามถูกต้อง ตามสมควรที่จะเป็น และการพูดการสื่อที่งดงามอย่างถูกต้อง และสมควรที่ผู้อื่นรับฟังได้อย่างไม่ขัดหู สุดท้ายการดำรงไว้ซึ่ง จิตใจอันงดงามและสมดุลกันในแง่ของ ความเป็นมนุษย์ สัตว์ประเสริฐนั้นเอง และขอฝากจุดยืนของความเป็นรากไทยด้วย ในการช่วยกันดูแล รักษา หวังว่า ความเป็นไทย เราจะต้องเป็นที่รู้จักมากขึ้นของ ลูกหลานเราเอง และ ต่างประเทศ แต่จงเก็บวัฒนธรรมที่ควบกับศีลธรรม และทิ้งวัฒนธรรมอันไม่สมควรทิ้งไป จงจำไว้ว่า ตัวเรา ก็คือ วัฒนธรรม ที่จะสื่อ ความมีศีลมีธรรม เช่นกัน อย่าให้เขาพูดว่าไอ้คนไม่มีวัฒนธรรม เลย ขอบคุณที่มีความสำนึกช่วยอ่าน

วันศุกร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2554

ปล่อยงาน และบินไปตามเพลง เที่ยวละไม

   เพลงนี้ เป็นเพลงที่ฟังทีไร มีความรู้สึกอิสระ เพราะเราฟังและใส่ความรู้สึกเพลิดเพลินไปกับบทเพลง ถือ ว่าถ้าใครเปิดฟัง และ เป็นคนชอบท่องเที่ยวรักอิสระ คงจะไม่ผิดหวัง ส่วนคนที่มีภาระในชีวิตประจำวัน ก็ควรจะหาโอกาส ท่องเที่ยวไปอยู่กับธรรมชาติ ความสงบ ความเพลิดเพลินกับเสียง นก เสียงสายนำ ลำธาร ทะเล สายลม ดอกไม้ หรือกิจกรรมท่องเที่ยวอื่นๆ มีเพื่อนชวนเพื่อน มีแฟนชวนแฟน มีครอบครัวพาครอบครัว มีเวลาทำกิจกรรมเพื่อความรัก สนิท สนม ความเข้าใจ ความสุข อีกหลายอย่าง บางครั้งเราควรจะให้เวลากับชีวิต เสียบ้าง ความสุขที่แท้จริงมิใช่อยู่ที่เงิน เงินเป็นเพียงสิ่งอุปกรณ์ที่ เสริมและบำรุงปัจจัยสี่ เท่านั้น สำหรับ คนที่ใช้เงินเพียงแค่ตัวเอง ทำงานหนักและเป็นทุกข์ จนป่วยกาย ป่วยใจ ก็คงจะไม่คุ้มค่า กับเงินที่หามา เพราะตลอดเวลาเราเป็นทาสของเงิน ยอมแลกชีวิตแต่ละวันเพื่อให้ได้มา ด้วย การทำงานหวังเพียงเงินเดือน ชีวิตมันก็เหนื่อย คนทำงานเป็นต้องพอใจกับงานที่ตนทำอย่างมีความสุข และยิ้มแย้ม อาจจะหลีกเลี่ยงกับสิ่งที่เป็นปัญหาไม่ได้ แต่เราต้องพยายามยิ้มกับมัน และวันแต่ละวันก็จะไม่เสียเปล่า ไปกับความทุกข์ เพราะเรามีความพอใจกับงานที่เราทำอยู่ และผลพลอยได้เงินเดือน หรือโบนัสพิเศษ ก็จะตามมาเป็นของแถม  บินไปกับเพลงนี้ และลืม ปัญหาทิ้งไปสักพัก เพิ่มพลัง และค่อยสู้กับวันใหม่ต่อไปอย่างมีรอยยิ้ม และมองโลกเปลี่ยนความคิดในการทำงานที่ต้องทรมาณ ในการทำงานเพื่อเงิน   ถ้าเราทำงานเพื่อเงินเราจะเป็นทาสเงิน แต่ถ้าทำงานเพื่อหน้าที่อย่างมีความสุข พอใจ ยิ้มได้ เราก็จะเป็นเจ้านายของเงิน ปัจจุบันผู้เขียนรู้และเข้าใจและทำได้ ชีวิต เลยไม่ค่อยเครียดเรื่องนี้ เงินจำเป็น แต่ไม่ใช้จำเป็นกับทุกสิ่ง ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน และลองไปอ่านบทความคุณค่าของเงินดู และเราจะได้คำตอบเพิ่มเติม.

นั่งเครียดไปทำไม ฟังเพลงนี้ดีกว่า

 ชีวิตเราปถุชนที่ยังต้องอยู่กับสังคมโลก บางครั้งหลีกเลี่ยงไม่ได้กับการรับและเผชิญปัญหาทุกข์ใจให้ปวดหัว ร้อนรนอยู่บ่อย บางครั้งเอาปัญหามาใส่ตัว และ ปัญหาที่คนอื่นเอามาโยนใส่ให้ ความเครียด ไปสู่สุขภาพจิต ออกไปสู่สุขภาพกาย และสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ที่ได้รับผลจากความเครียดของเรา ตัวอย่าง เช่น คนอื่นเห็นหน้าตาบูดบึง เขาก็ไม่ยากเข้าใกล้ รัศมีในตัวลดลง ใครอยู่ใกล้ก็ไม่มีความสุข และยังไปสู่สิ่งของ เครื่องใช้ ที่รกรุงรัง ไม่เป็นระเบีบยเรียบร้อย ก็บอกความวุ่นวายของเราได้เหมือนกัน และมีหลายวิธีที่จะแก้ ความเครียด เช่น หยุดพักผ่อน วางทุกอย่างทิ้งไว้ชั่วคราว, เปลี่ยนกิจกรรม ไปทำอย่างอื่น เช่น ฟังเพลง เล่นกีฬา,ปล่อยวางบ้าง, ไปคิดเรื่องอื่นๆให้พ้นจากปัญหา,หลีกหนีปัญหาจากที่วุ่นวาย,ที่ผู้เขียนใช้บ่อยเมื่อเครียด กับเรื่องอื่น หรืออื่นๆ คือ มองให้สิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องตลก หรือ นึกถึงเรื่องตลก และที่สำคัญ คือคำพูดที่ว่า ไม่มีอะไรเป็นไปตามที่เราคิดทุกเรื่อง คือธรรมดา นี้แหละชีวิต หากทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามที่เราปรารถนา หมด มันก็วิเศษเกิน คนแล้ว แต่ชีวิตจริง เราก็ต้องสู้กับมัน อย่าง สติ ปัญญา เรื่องไหนแก้ไม่ได้ ก็ปล่อยมันไปตามธรรมชาติบ้าง  การเกิดมามีแต่ทุกข์แต่เครียด นั้น เสียเวลากับคุณค่าของชีวิต เปล่าๆ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนเปลี่ยนความคิด เป็นมุมมองใหม่ๆบ้าง ก็จะช่วยให้เรายิ้มรับวันสดชื่น และไม่กลัวกับสิ่งที่เข้ามาในแต่ละวัน นั้นแหละคือสิ่งที่คุณทุกท่านจะต้องการ คือ ความสุข นั้นเอง

บทกลอน อ.พุทธทาส มองโลก


มองแต่แง่ดีเถิด
  • เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา
    จงเลือกเอา ส่วนที่ดี เขามีอยู่
    เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู
    ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย
  • จะหาคน มีดี โดยส่วนเดียว
    อย่ามัวเที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ย
    เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเลย
    ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริง ฯ
จะดูโลกแง่ไหนดี?
  • จงดูเถิด โลกนี้ มีหลายแง่
    ดูให้แน่ น่าสรวล เป็นชวนหัว
    หรือชวนเศร้า โศกสลด ถึงหดตัว
    ดูให้ทั่ว ถ้วนความ ตามแสดง
  • จะดูมัน แง่ไหน ตามใจเถิด
    แต่ให้เกิด ปัญญา มาเป็นแสง
    ส่องทางเดิน ชีวา ราคาแพง
    อย่าให้แพลง พลาดพลั้ง ระวังเอย ฯ
มอง-มอง-มอง
  • มองอะไร มองให้เห็น เป็นครูสอน
    มองไม้ขอน หรือมองคน มองค้นหา
    มองเห็นความ เสมอกัน มีปัญญา
    มองเห็นว่า ล้วนมีพิษ: อนิจจัง
  • มองทุกข์สุข ก็จงจ้อง มองให้ดี
    มองว่าเป็น อย่างที่ คนเราหวัง
    มองว่าเป็น ตามปัจจัย ให้ระวัง
    มองจริงจัง ก็จักเห็น เป็นธรรมดา
  • มองโดยนัย ที่มันสอน จะถอนโศก
    มองเยกโยก มันไม่สอน ร้อนเป็นบ้า
    มองไม่เป็น โทษผีสาง นางไม้มา
    มองถูกท่า ไม่คว้าทุกข์: มองถูกจริง!

พระอารมณ์ขัน เรื่องเล่าจากในวัง ตลกมาก

เรื่องเล่าจากในวัง- อ่านแล้วอ่านอีกก็ยังไม่เบื่อผมมีเรื่องที่จะเล่าให้ฟังอยู่เหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นเรื่องจริงเหตุการณ์เกิดทีจังหวัดตาก
เมื่อพระเทพทรงเสด็จไปเยี่ยมราษฏรตามที่ต่างๆ
และได้ทรงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนในตลาดสด
และถามความเป็นอยู่กับบรรดาแม่ค้าในตลาด แต่ก็มาถึงแม่ค้าปลา

ซึ่งพระองค์ทรงตรัสถามว่า 'ปลาพวกนี้ขายอย่างไงจ๊ะ'

แม่ค้าตอบว่า 'ที่สวรรคตแล้ว กิโลละ 40 บาท
และที่เสด็จไปเสด็จมากิโลละ 80 บาทจ๊ะ'

เหตุการณ์นี้ ทำให้ข้าราชบริพารที่ตามเสด็จหัวเราะกันทุกคน
---------------------------------------
เช้าวันหนึ่ง เวลาประมาณ 7 โมงเช้า
นางสนองพระโอษฐ์ของฟ้าหญิงองค์เล็ก ได้รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้ชาย ขอพูดสายกับฟ้าหญิง
ทางนางสนองพระโอษฐ์ ก็สอบถามว่าใครจะพูดสายด้วย

ก็มีเสียงตอบกลับมาว่า คนที่แบงค์

นางสนองพระโอฐก็ งง...งง ว่าคนที่แบงค์ทำไมโทรมาแต่เช้า แบงค์ก็ยังไม่เปิดนี่หว่า

แต่พอฟ้าหญิงรับโทรศัพท์แล้วถึงได้รู้ว่า คนที่แบงค์น่ะ
ก็ที่แบงค์จริงๆนะ ไม่เชื่อเปิดกระเป๋าตังค์

แล้วหยิบแบงค์มาดูสิ ............ ขนลุกเลย ทรงตรัสกับในหลวงท่านอยู่นั่นเอง
------------------------------------
อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสาน
เมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่ง
ที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายออกแปลกใจในการกราบบังคมทูล
ที่คล่องแคล่วและใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงน

เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้
จึงมีคำกราบทูลว่า
'ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่าบัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวนพระพุทธเจ้า..'

มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน
ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว..
พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า
มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป
ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย
และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว'

เรื่องนี้ ดร.สุเมธเล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะ
ไม่ยกเว้นแม้ในหลวง
-------------------------------------
เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น
เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาตนำพระบรมฉายาลักษณ์ของท่านมาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ
ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า 'ไปบอกเค้านะเราไม่ใช่มิกกี้เมาส์'

--------------------------------------
เรื่องการใช้ราชาศัพท์กับในหลวง ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้งแผ่นดิน และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่

ที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน
ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนมี
ข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงาน
ว่า
'ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้าพลตรีภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต กราบบังคมทูลรายงาน ฯลฯ'

เมื่อสิ้นคำกราบบังคมทูลชื่อในหลวงทรงแย้มพระสรวล อย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า

'เออ ดี เราชื่อเดียวกัน...'
ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัย
เพราะผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้
-----------------------------------
มีอยู่ครั้งหนึ่งทรงเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตรให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนในครุย
ทรงโปรดสูบมวนพระโอสถ แต่ว่าทรงหาที่จุดไม่ได้
ทางอธิการบดีซึ่งเฝ้าอยู่ก็จุดไฟให้พร้อมทูลว่า 'ถวายพระเพลิงพระเจ้าข้า'
ในหลวงทรงชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆ กับอธิการบดีว่า
'เรายังไม่ตายถวายพระเพลิงไม่ได้หรอก'
------------------------------------
เคยมีเรื่องเล่าให้ฟังว่า ในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร
อยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว
แต่
ราษฎรผู้หนึ่งกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า
'ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์'

ในหลวงทรงตรัสว่า 'ขอเดชะ พระหมดแล้ว '
------------------------------------
วันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตามปกติที่ต่างจังหวัด
ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมาย
พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระบาท
ที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบพระบาท
แล้วก็เอามือของแกมาจับพระหัตถ์ของในหลวง แล้วก็พูดว่า

'ยายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวง'

แล้วก็พูดว่า ยายอย่างโน้น ยายอย่างนี้ อีกตั้งมากมาย

แต่ในหลวงก็ทรงเฉยๆ มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร

แต่พวกข้าราชบริพารก็มองหน้ากันใหญ่ กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัย หรือไม่
แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบว่ากับหญิงชราคนนั้น
ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว เพราะพระองค์ทรงตรัสว่า

'เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ

ต้องเรียกน้าซิถึงจะถูก'
-------------------
ครั้งหนึ่งหลายๆ ปีมาแล้ว
พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับพระฉวีมีพระอาการคัน
มีหมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษา


คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโรคผิวหนังแต่ไม่ได้เชี่ยวชาญทางราชาศัพท์
ก็กราบบังคมทูลว่า '
เอ้อ - ทรง... อ้า-ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ
อ้า-ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ'

พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวล ตรัสว่า 'ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่จะท้องได้ยังไง'

แล้วคงจะทรงพระกรุณาว่า หมอคงจะไม่รู้ราชาศัพท์ทางด้านอวัยวะร่างกายจริงๆ
ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า เอ้า พูดภาษาอังกฤษกันเถอะ
เป็นอันว่าก็กราบบังคมทูลซักพระอาการกันเป็นภาษาอังกฤษไป
------------------------------

เรื่องนี้รุ่นพี่ที่จุฬาฯเล่าให้ฟังว่า
มีอยู่ปีนึงที่ในหลวงทรงเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร
อธิการบดีอ่านรายชื่อบัณฑิตแล้วบังเอิญว่า มีเหตุขัดข้องบางประการ
ทำให้อ่านขาดตอน ก็ต้องรีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหนแล้ว

ปรากฏว่า
ในหลวงท่านทรงจำได้ ท่านเลยตรัสกับอธิการไปว่า
'เมื่อกี้นี้ (ชื่อ....) เค้ารับไปแล้ว'

และมีอีกปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ดีๆ ไฟดับไปชั่วขณะ...
ทำให้บัณฑิตคนหนึ่งพลาดโอกาสครั้งสำคัญในการถ่ายรูป
พอในหลวงทรงพระราชทานปริญญาบัตรเรียบร้อยแล้ว
ก่อนที่จะให้พระบรมราโชวาท

ท่านทรงให้อธิการบดีเรียกบัณฑิตคนนั้นมารับพระราชทานอีกครั้ง
เพื่อจะได้มีรูปไว้เป็นที่ระลึก ตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้งหอประชุม
ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
>**
*

ตัวอักษรเล็กกรุณาซูมขยายเมื่ออ่าน

วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2554

คุณค่าของเงิน ซื้ออะไรได้บ้าง


แต่เงินช่วยสร้างประโยชน์อันถูกต้องแก่สังคมได้

        ด้วยเงินคุณสามารถซื้อตัวบ้านได้ แต่ไม่ใช่บ้านที่มีชีวิตจิตใจ
ด้วยเงิน คุณสามารถซื้อนาฬิกาได้ แต่ไม่สามารถซื้อเวลาได้       
ด้วยเงินคุณสามารถซื้อเตียงนอนได้ แต่ไม่สามารถซื้อการนอนหลับพักผ่อนได้
ด้วยเงิน คุณสามารถซื้อหนังสือได้ แต่ไม่สามารถซื้อความรู้ได้
 ด้วยเงิน คุณสามารถซื้อหมอได้ แต่ไม่สามารถซื้อสุขภาพที่ดีได้
ด้วยเงิน คุณสามารถซื้อตำแหน่งได้ แต่ไม่สามารถซื้อความยอมรับนับถือได้   
ด้วยเงิน คุณสามารถซื้อเลือด แต่ไม่สามารถซื้อชีวิตได้
  ด้วยเงิน คุณสามารถซื้อเซ็กส์ แต่ไม่สามารถซื้อความรักได้



วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2554

ธรรมะพระอรหันต์กึ่งพุทธกาล

          ความเห็นของผู้โพส กระผมได้อ่านบทความนี้ ในเรื่องธรรมะพระอรหันต์กึ่งพุทธกาลและเห็นว่าเป็นสิ่งที่อ่านแล้วเราได้คำตอบในการที่จะเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่กับคำสั่งสอน หรือการมีมาของธรรมะที่พระองศ์ทรงค้นพบซึ่งเป็นหนทางเดียวที่เราจะรู้จักความจริงของชีวิตในการเกิดมา และหนทางแห่งคำตอบว่า คนเราเกิดมาเพื่ออะไร อะไรคือสิ่งสูงสุดของชีวิต และเราสามารถที่จะทำได้สะสมบารมีได้ แม้จะบรรลุชาตินี้ก็ยังได้เลย อย่างน้อยความสุข คือจุดเริ่มต้นของคนเราก็แล้วกัน ในการที่ได้เข้าใจความเป็นจริงของชีวิต รู้ทุกข์ รู้ไตรลักษ์ ขอเชิญต้อนรับสู่ดินเเดนพุทธศาสนาด้วยของจริงเถิด แก้วพระรัตนตรัยคือที่พึ่งทั้งหลายของสัตว์ที่น่าสงสารอย่างเราในการเริ่มต้นสู่ ชีวิตที่แท้จริง และไม่เสียดายชาติเกิดอย่างแน่นอน  อุตตฺมสาโรภิกขุ
                                                                                
 บทความจาธรรมะพระอรหันต์กึ่งพุทธกาลกหนังสือธรรมะพระอรหันต์กึ่งพุทธกาล
   ศาสนาพุทธนั้นสอนให้คนเราใช้สติปัญญา สอนให้พิจารณา สอนให้ใช้เหตุผล ศาสนาพุทธไม่มีหลักการบังคับให้ใครมานับถือ ไม่เคยง้อให้คนมานับถือ แต่เป็นการเชิญชวนให้มาพิสูจน์ว่าพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นเป็นของจริงของแท้ เป็นของที่ให้ผลแน่นอน และถึงแม้ว่าใครจะหันมานับถือศาสนาพุทธ ก็ไม่ใช่ว่าจะขึ้นสวรรค์ หรือ บรรลุนิพพานกันได้ง่าย ๆ และไม่มีการล้างบาปกรรมใด ๆ พระพุทธเจ้าท่านเพียงแต่ชี้แนวทางให้เท่านั้น ผู้ใดปฎิบัติตามทางที่พระพุทธองค์ทรงชี้แนะไว้ จึงจะเข้าสู่กระแสพระนิพพานได้ด้วยตนเอง พระธรรมรอคอยการพิสูจน์อยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้พระธรรมจึงได้ชื่อว่า เอหิปัสสิโก (ควรมาพิสูจน์) สงครามของพระพุทธเจ้าคือสงครามที่สอนให้รบกับจิตใจของตนเอง สอนให้ฆ่ากิเลสในใจ ผู้ที่จะสามารถทำการรบได้เก่งกาจสักเพียงใดนั้นย่อมขึ้นอยู่กับการฝึกฝนจิตใจของตนเอง ถ้าฝึกฝนน้อยจะเอาชนะศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดนั้นก็ยากเย็นเสียเหลือเกิน กว่าจะเอาชนะได้อาจต้องใช้เวลาในการต้อสู้ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ แต่การฝึกฝนในทางพระพุทธศาสนานั้น วิทยายุทธของท่านย่อมติดตัวไปทุกภพทุกชาติ เป็นเสบียงไว้สำหรับทำการศึกในภพชาติต่อ ๆ ไป สังเกตุได้จากการที่นักรบบางท่านฝึกฝนวิทยายุทธได้สำเร็จอย่างรวดเร็ว ได้ฟังธรรมเพียงเล็กน้อยก็น้อมนำเข้าสู่จิตใจสามารถบรรลุธรรมได้ บางคนถึงแม้ตั้งใจพยายามฝึกแต่ก็มีความก้าวหน้าได้ช้ามาก ขึ้นอยู่กับผลกรรมและสติปัญญา ซึ่งก็เปรียบเสมือนกับ เสบียงและเคล็ดวิชาที่ตนเองสั่งสมไว้ด้วย คำสอนอันประเสริฐของพระพุทธเจ้าในยุคของพระสมณโคดมนั้นมีมาช้านานถึงสองพันกว่าปี หลายคนเกิดมาก็พบกับคำว่าพระพุทธศาสนาจนเคยชิน แต่ก็ไม่ได้เข้าใจ ว่าพระพุทธศาสนาคืออะไร ไม่มีบุญพอที่จะเข้าถึง หันไปขอพึ่งบารมีเทพเจ้าต่าง ๆ โดยหวังทางลัด มันเหนื่อยที่จะเดินตามทางที่พระพุทธเจ้าท่านชี้แนะไว้ โดยหารู้ไม่ว่า ทางที่พระพุทธเจ้าท่านทรงชี้แนะไว้นั้นเป็นทางที่ลัดที่สุดแล้ว เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ในเบื้องต้นนั้นพระพุทธเจ้าท่านไม่คิดที่จะเผยแพร่พระศาสนาเพราะทรงเห็นว่ายากเหลือเกินที่สัตว์โลกจะเข้าใจธรรมของพระองค์ได้ เมื่อพระพรหมมาทูลขอ พระพุทธเจ้าท่านจึงยอมที่จะเผยแพร่พระพุทธศาสนา โดยการเผยแพร่ธรรมของพระองค์นั้น ท่านไม่ได้ทรงประกาศธรรมของท่านอย่างยิ่งใหญ่หรือมีการโฆษณาอย่างครึกโครมประการใด ธรรมอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงค้นพบนั้น ท่านกลับเผยแพร่อย่างเงียบ ๆ ค่อยเป็นค่อยไป ใครที่จะมีโอกาสได้พบและเข้าใจในธรรมของพระองค์นั้น ย่อมจะต้องสั่งสมบุญบารมีมาพอสมควร หลายคนที่เกิดมาทันยุคของพระพุทธเจ้าแท้ ๆ แต่ไม่ได้เข้าใจธรรมของพระองค์ หรือที่เลวร้ายกว่า กลับไปให้ร้ายพระองค์เสียด้วย ยิ่งเป็นการติดลบถอยหลังไปอีก ถึงแม้เราเกิดมาไม่ทันพบพระพุทธเจ้า แต่พระธรรมคือตัวแทนของพระพุทธเจ้านั้นยังมีอยู่ เท่ากับว่าเราได้พบพระพุทธศาสนาแล้ว ถือว่าเป็นบุญอย่างใหญ่หลวง เพราะไม่มีใครรู้ได้ว่าหลังจากที่เราตายไปแล้ว จะไปเกิดใหม่ในภพภูมิหรือยุคสมัยใด ถ้าโชคร้ายไปเกิดในยุคที่ไม่มีศาสนาก็ไม่รู้ว่าจะต้องรอไปอีกนานแสนนานขนาดไหน จึงจะได้พบกับพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีบุญพอให้เข้าใจธรรมของท่านด้วยหรือไม่

    

ความสุขและความจริงของชีวิต

 สายน้ำนั้นไหลไปตามกาล สักวันวาลคงแห้งเหือดหมดหาย
แม้แต่คนสักวันหนึ่งก็เปลี่ยนกาย เปลี่ยนมลายจิตใจมิแน่นอน

ความสุขของชีวิต
 วันเวลาผ่านไป เรานั่งย้อนมองตัวเองอย่างเงียบๆท่ามกลางธรรมชาติแมกไม้ ที่ข้างหน้าเป็นทุ่งนา นั่งอยู่ใต้ต้นหว้าซึ่งร่มใบเขียวขจีร่มรื่น สายลมพัดเอื้อยๆ มีแมลงปอบินไปบินมา ทำให้ฉันได้อยู่กับตัวเองและได้ยินเสียงธรรมชาติ มองเห็นธรรมชาติ ได้ยินเสียงลม ได้ยินเสียงนกน้อยๆร้องเพลง ตามองเห็นดอกหญ้าซึ่งสวยงามปะปนในท่งหญ้าเตี้ยๆหลายแบบหลายสี ซึ่งเมื่อก่อนฉันได้เดินผ่านและเหยียบย้ำดอกหญ้าเหล่านั้นไม่รู้สึกอะไร เสียงนกหลากหลายซึ่งมันมีอยู่แต่ฉันไม่เคยได้ยินมัน แต่ขณะนี้ฉันมีความรู้สึกว่าหลายสิ่งหลายอย่างชีวิตในยามเด็กของฉันได้กลับย้อนมา เอ้ะ แล้วทำไมน่ะเป็นเพราะอะไร ยามเด็กฉันเล่นสนุกอย่างมีความสุขกับเพื่อนท่ามกลางท้องนาอันกว้างใหญ่ลมพัดโบกโบย หัวใจฉันล่องลอยไปอย่างมีความสุข แต่มันก็ผ่านไปเร็วเหลือเกิน เมื่อก่อนยามเด็กดอกหญ้าฉันเห็นมันและเด้ดมันมาถักเป็นมงกุฏสวมใส่ศรีษะเล็กๆของฉันมันมีคุณค่า เสียงนกคือดนตรีบรรเลงที่เพราะที่สุด ฉันได้อยู่กับสิ่งเหล่านั้นหลายอย่าง ได้ยิน ได้สัมผัส ได้รับรู้ว่าโลกนี้ช่างน่าอยู่ แต่ก็ว่าสิน่ะตอนนี้มันไม่ใช้เด็กที่วิ่งแก้ผ้าได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ทำอะไรผิดก็ไม่มีใครถือสาว่าโทษ นอนหลับก็สบายไม่มีอะไรที่คอยกังวล ตื่นเช้ามาก็สดชื่นมีพลังวันใหม่อีกอย่างไม่รู้จักเหนื่อย เวลาแห่งความสุขได้ผ่านไปเร็วเหลือเกินเหมื่อนสายนำลำธารที่ไหลไปอย่างไม่ย้อนกลับ และอาจจะแห้งสลายไปตามเวลา เหลือแต่เพียงรอยแห่งลำธารพื้นทราย ที่มองให้เห็นเป็นความทรงจำ ใจฉันเปลี่ยนไป กายก็เปลี่ยน ฉันได้รู้สึกเริ่มมองเห็นตัวเองว่า ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลง มิอาจอยู่คงที่และทนได้ กายฉัน ใจฉัน เมื่อก่อนย้อนไปตามแต่ละวัยมันได้ตายไปแล้ว และมันก็มิใช่ตัวฉัน แต่ปัจจุบันที่ฉันยืนอยู้นี้คือความจริง และมันคือความจริงที่ฉันรู้สึกว่ามันคือความสุขเมื่อยามเด็ก สิ่งนั้นคือ ความสุขที่ฉันได้อยู่กับปัจจุบัน อย่างไม่ต้องกังวลทุกข์ใจอนาคตที่มาไม่ถึง ไม่หวลย้อนอดีตที่แสนปวดร้าวที่ผ่านมา ยามเด็กไม่มีอดีตไม่มีอนาคต และตอนนี้ฉันได้รู้ว่าต่อจากนี้ฉันจะเริ่มต้นเดินชีวิตใหม่อย่างไร อยู่กับใจตัวเองคือโลกแห่งความจริงในปัจจุบัน สติปัญญาใช้แทนความหวังที่นำทางอนาคต จะเดินไปและอยู่อย่างมีความสุขท่ามกลาง สายน้ำแห่งเวลาที่ที่คอยไหลเข้ามาหาเราและค่อยๆกลืนชีวิตเราสู่ความตายอันบริบูรณ์ อย่างน้อยก้ขอบคุณต้นไม้ สายลม ดอกหญ้า นกน้อย และเหล่าแมลง และร่มเงา ที่ทำให้ฉันรู้คุณค่าของชีวิตที่แท้ อยู่กับตัวเอง อยู่กับคนอื่น อยู่กับธรรมชาติ อย่างวันพรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายของเรา ฉันคงจะมีเวลาที่จะให้ความรักและคุณค่ากับคนอื่นๆอย่างมีความสุขและไม่เสียดายที่ฉันจะตายไปวันไหน มันไม่สายหากตอนนี้ฉันเริ่มต้นในวัยอายุ ๕๐ ปี แล้วคุณละจะเริ่มเข้าใจชีวิตตอนไหน.

สายฝน แห่งชีวิต ปล่อยความทุกข์ กังวลไหลไปตาม สายน้ำ ไม่ยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวาง





ใบไม้ร่วงโรย ชีวิตล่วงเลย แต่ใจไม่ร่วงหล่น