จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2554

บทความ ความคิด ของคนโง่ คนฉลาด คนเจ้าปัญญา เขาคิดกันอย่างไร


ความคิด ของคนโง่ คนฉลาด คนเจ้าปัญญา เขาคิดกันอย่างไร

ว่าด้วยความจริงจัง


คนโง่ : เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตเป็นเรื่องจริงจัง จึงเครียดแทบบ้า


คนฉลาด : เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตเป็นเรื่องเล่นๆ จึงสนุกสนานจนไร้สาระ


คนเจ้าปัญญา : เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตเป็นตัวเร่งวิวัฒนาการ จึงรุ่งเรืองรวดเร็ว


ว่าด้วยความประสบความสำเร็จ


คนโง่ : รอให้ความสำเร็จมาหา อาจต้องรอหลายชาติกว่าจะพบซักครั้ง


คนฉลาด : เดินไปหาความสำเร็จ จึงอาจมีโอกาสพบบ้างแม้เหนื่อยยาก


คนเจ้าปัญญา : ปักหลักสร้างความสำเร็จ หากสร้างความสำเร็จแน่ๆ และเหนื่อยน้อยกว่า


ว่าด้วยความรักและคู่รัก


คนโง่ กระหายคู่ จึงอยู่คนเดียวไม่ได้ เพราะไม่เป็นสุข ต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่นเสมอ


คนฉลาด ปฎิเสธคู่ จึงเป็นสุขเมื่ออยู่คนเดียว และเป็น ทุกข์เมื่ออยู่กับคนอื่น และหากยังต้องพึ่งพิงก็ยิ่งระทม และขมขื่น


คนเจ้าปัญญา ไม่แสวงหา แต่ก็ไม่ปฎิเสธคู่ที่พึงมี หาก มีคู่ก็ประคับประคองกันไปสู่ชีวิตที่สูงส่งยิ่งขึ้นทั้งคู่ จึงอยู่ คนเดียวก็ได้เป็นสุขดี อยู่กับคู่ก็ดีเป็นสุขได้


ว่าด้วยสัจจสัมพันธ์


คนโง่ ไม่รักษาสัจจะ จึงไม่มีใครเชื่อถือ ตนก็ไม่อาจเคารพในตนได้


คนฉลาด คลั่งไคล้สัจจะ แยกไม่ออกระหว่าง ประโยชน์และโทษของสัจจะแต่ละระดับ.....จึงมักพาตนและพาคนอื่นติดกับดักแห่งความจริงโดยไม่ตั้งใจ


คนเจ้าปัญญา. ทำสัจจะกับปัญญาให้เป็นหนึ่งเดียวกัน จึงมีสัจจะรักษา และมีอำนาจพิเศษยิ่งกว่าคนทั่วไป


ว่าด้วยความเป็นไปได้


คนโง่...ชอบคิดว่าทุกสิ่งที่หวังเป็นไปไม่ได้ จึงขังตนเองในความเกียจคร้าน ชีวิตต่ำต้อย


คนฉลาด...ชอบคิดว่า ทุกสิ่งที่หวังเป็นไปได้ จึงทะยานไปในตัณหาไม่รู้จบ ชีวิตกระเจิดกระเจิง


คนเจ้าปัญญา...ย่อมเห็นว่าในบรรดาสิ่งที่หวัง บางสิ่ง เป็นไปไม่ได้ บางสิ่งเป็นไปได้ ในบรรดาสิ่งที่เป็นไปไม่ ได้ทั้งหมดนั้น บางสิ่งเป็นไปไม่ได้ถาวร บางสิ่งเป็นไป ไม่ได้ชั่วคราว และในบรรดาสิ่งที่เป็นไปได้ถาวรนั้น บาง สิ่งก็ไม่มีประโยชน์ บางสิ่งมีประโยชน์ เขาจึงปรับความ หวังให้สอดคล้องกับความเป็นไปได้ที่มีประโยชน์ และ ปรับสิ่งเป็นไปไม่ได้ชั่วคราวให้เป็นไปได้มากขึ้น ชีวิตจึง อยู่กับความสมหวังและการพัฒนาโดยลำดับ


ว่าด้วยพันธสัญญา


คนโง่ ไม่กล้ารับปากใครแม้กับตนเอง จึงไม่ได้รับความเชื่อถือแม้ต่อตนเอง


คนฉลาด รับปากเรื่อยไปในทุกเรื่อง ต้องเพียรพยายามทำตามสัญญาด้วยความเหนื่อยยาก และทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ได้รับความเชื่อถือบ้าง ไม่เชื่อถือบ้าง


คนเจ้าปัญญา ชวนทุกคนที่เกี่ยวข้องร่วมพันธสัญญาจึงได้พลังร่วมของส่วนรวมที่จะขับเคลื่อน ภารกิจไปสู่ความสำเร็จ


ว่าด้วยผู้พูด


คนโง่ ชอบให้อารมณ์พูด จึงผิดพลาดมากล้มเหลวบ่อย


คนฉลาด ชอบใช้เหตุผล จึงถูกต้องมากแต่ มักไร้ความรู้สึก และประสบแต่ความสำเร็จอันแห้งแล้ง


คนเจ้าปัญญา ชอบใช้ธรรมะพูด จึงบริสุทธิ์ เหนือถูกผิด และเป็นหนึ่งเดียวกับความสำเร็จโดยธรรม


ว่าด้วยความเป็นธรรม


คนโง่....ชอบเรียกหาความเป็นธรรม จนบ่อยครั้งใช้ กระบวนการที่ไม่เป็นธรรมในการเรียกหา....จึงพาให้ยิ่ง ห่างไกลความเป็นธรรม


คนฉลาด ชอบสร้างความเป็นธรรม ปั้นแล้วปั้นอีก ปั้นอย่างไรก็ไม่เป็นธรรมแท้ แม้พยายามถึงที่สุด เพราะ ความเป็นธรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับปรารถนา ของใคร จึงเป็น ความหวังดีที่ล้มเหลวเรื่อยไป


คนเจ้าปัญญา ชอบประพฤติธรรม ดำรงอยู่และดำเนินไปโดยธรรม จึงได้สิทธิพิเศษโดยธรรม


ว่าด้วยการบริหารอารมณ์


คนโง่ มักจมอยู่ในอารมณ์ ด้วยคิดว่าอารมณ์ คือเขาเขาคืออารมณ์ เขาจึงเป็นทาสของอารมณ์เสมอ


คนฉลาด ชอบปฎิเสธอารมณ์ เพราะคิดว่าอารมณ์คือสิ่งรบกวน ทำตัวเป็นคนสงบที่ไร้อารมณ์ เขาจึงเป็นเพื่อนกับผีดิบ


คนเจ้าปัญญา ย่อมบริหารอารมณ์ สร้างอารมณ์ที่ควรสร้าง เสพอารมณ์ที่ควรเสพ ควบคุมอารมณ์ที่ควรควบคุม รักษาอารมณ์ที่ควรรักษา สลายอารมณ์ที่ควรสลาย เขาจึงเป็นนายของอารมณ์โดยสมบูรณ์


ว่าด้วยการอยู่กับความทุกข์


คนโง่ มัวอดทนกับทุกข์ เมื่อทุกข์ใจก็ไม่กล้าตัดสินใจ จากสิ่งที่ทำให้ทุกข์ จึงต้องทนเจ็บใจตลอดไป สะบักสะ บอม


คนฉลาด มักหนีทุกข์ เมื่อทุกข์ใจก็กล้าตัดใจจาก สิ่งที่ทำให้ทุกข์ จึงโล่งใจไปเรื่อย ๆ ตราบที่ตัดได้และ ต้องเปลี่ยนแปลงร่ำไป


คนเจ้าปัญญา ทำลายเงื่อนไขของทุกข์ ทำใจให้ ไม่เจ็บในทุกข์ จึงไม่ต้องตัดต่อใจอีกต่อไป ใจจึงเป็น ปกติเย็นอยู่ อยู่กับทุกข์ได้โดยไม่ทุกข์


ว่าด้วยความยิ่งใหญ่


คนโง่ เห็นว่าตนยิ่งใหญ่ จึงจมอยู่ในตัวตนอันกระจ้อยร่อย ท่ามกลางเอกภพอันไร้ขอบเขต


คนฉลาด เห็นว่าธรรมชาติยิ่งใหญ่ หวาดกลัว และ เทิดทูนธรรมชาติ ส่วนใดที่ตนเข้าไม่ถึงจึงโยนไว้ในอุ้ง หัตถ์ของภูติผีและพระเจ้า


คนเจ้าปัญญา เห็นว่าความบริสุทธิ์ยิ่งใหญ่ เพราะทั้ง ตน ธรรมชาติ และวิญญาณทั้งหลาย ล้วนมีเป้าหมาย สูงสุดที่ความบริสุทธิ์


ว่าด้วยปฎิสัมพันธ์


คนโง่ ชอบเอาเปรียบคนอื่น จึงได้ประโยชน์ตนสั้น ๆ แต่เสียคนรัก และความศรัทธา


คนฉลาด ชอบยอมเสียเปรียบคนอื่น จึงได้คนรักและความศรัทธา แต่ขมขื่นในใจตน


คนเจ้าปัญญา ชอบบริหารประโยชน์สุขทุกฝ่าย จึง เป็นสุขใจ ได้คนรัก ความศรัทธา และสถาปนาระบบ ประโยชน์อันยั่งยืน


ว่าด้วยความผิด


คนโง่ เห็นแต่ความชั่วร้ายของคนอื่น และโยนความ ผิดให้ผู้อื่นอยู่เรื่อย เป็นการทำมิตรให้กลายเป็นศัตรู ชีวิตจึงอยู่ในท่ามกลางอันตราย


คนฉลาด เห็นแม้ความชั่วร้ายในตนเอง จึงกล้ายอม รับความจริง และแก้ไขตัว ทำให้ตนดีขึ้น ทำให้แม้ ศัตรูก็ยอมรับได้มากขึ้น ชีวิตจึงเจริญและผาสุกโดยลำดับ


คนเจ้าปัญญา เห็นความชั่วร้ายสากล จึงเข้าใจ ทุกคนในทุกสถานการณ์ เห็นสัดส่วนการบริหารคนที่ เหมาะสม โดยไม่ทำร้ายคน แต่จะทำลายความชั่ว สากล ให้สิ้นไป จึงสนุกสนานในการบริหารเรื่อยไป


ว่าด้วยการปกครอง


คนโง่ คิดปกครองคนอื่น ขณะที่ตนก็คือคน ๆ หนึ่ง จึงไม่อาจปกครองใครได้แท้จริง การทรยศจึงเกิดขึ้นเนือง ๆ


คนฉลาด คิดประสานกิเลสและคุณธรรมของคน จึงลงตัว ตราบที่กิเลสไม่กำเริบและคุณธรรมไม่เสื่อม เมื่อกิเลสกำเริบหรือคุณธรรมเสื่อมก็แตกร้าวเนือง ๆ


คนเจ้าปัญญา คิดยกระดับปัญญาและความบริสุทธิ์ ของคน เมื่อปัญญามากและความบริสุทธิ์ถึงที่สุด ทุกคน จะจัดตนเข้าฐานะหน้าที่อันเหมาะสมเอง จึงไม่ต้อง พยายามปกครองกันอีก


ว่าด้วยการบริหารสถานการณ์


คนโง่ ชอบเข้าสู่สถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ เป็น ความเสี่ยงอย่างยิ่งของชีวิต ความสำเร็จจึงแขวนอยู่บน ความประมาท


คนฉลาด ชอบเข้าสู่เฉพาะสถานการณ์ที่ควบคุมได้ จึงมีสถานการณ์เพียงน้อยนิดที่เหมาะสม ชีวิตมีความ เสี่ยงต่ำ แต่สำเร็จเพียงเล็กน้อย


คนเจ้าปัญญา บริหารความเสี่ยง ควบคุม ปรับ จุดหมุน กระจาย สลายทุกความเสี่ยง เมื่อเข้าสู่ สถานการณ์ใด ก็เหนี่ยงนำแล้วปล่อยวาง บริโภคคุณค่า แล้วคายกากภัยทิ้งจึงสำเร็จได้ง่ายแม้ในความยากอย่าง ยิ่ง


ว่าด้วยความรักสัมพันธ์


คนโง่ ชอบขอความรักและความเห็นใจ แต่มักได้รับความสมเพชตอบแทนเป็นประจำ


คนฉลาด ชอบให้ความรักความเข้าใจ และมักได้รับความหวังพึ่งพิงตอบเนือง ๆ


คนเจ้าปัญญา ชอบให้ปัญญาที่จะให้ทุกคนรัก และเข้าใจตนเอง จึงได้รับความนับถือ และความมีบุญคุณตอบแทนเสมอ


ว่าด้วยคนดีและคนชั่ว


คนโง่ เห็นคนดีว่าชั่ว เห็นคนชั่วว่าดี ชีวิต จึงประสบภัยใหญ่หลวง


คนฉลาด เห็นคนดีว่าดี เห็นคนชั่วว่าชั่ว ชีวิตจึงต้องระมัดระวัง หลบหลีกเลือกเฟ้นเป็นพัลวัน


คนเจ้าปัญญา เห็นคนดีว่าไม่ดีจริง เห็น คนชั่วว่าไม่ชั่วจริง จึงไม่ยกย่องผู้ใดและไม่เหยียบ ย่ำใคร แต่บริหารทุกคนไปสู่สภาวะที่ประเสริฐ กว่าที่เขาเป็นได้เสมอ


ว่าด้วยความทุกข์และความสุข


คนโง่ เห็นทุกข์เป็นสุข จึงรักษาทุกข์ไว้ ด้วยสำคัญว่าเป็นสุข หรือน่าจะนำสุขมาให้ ยิ่ง รักษาก็ยิ่งทุกข์ จึงระทมร่ำไป


คนฉลาด เห็นทุกข์เป็นทุกข์ แล้วต่อสู้อยู่ ในท่ามกลางความทุกข์ ยิ่งพยายามก็ยิ่งพบความ ไม่น่าพอใจจึงท้อแท้เรื่อยไป


คนเจ้าปัญญา เห็นทุกข์โดยความเป็น ของไร้สาระ จึงโยนทิ้งไปเสีย จนเป็นอิสระ โปร่ง เบาสบายยิ่งนัก


ว่าด้วยการปรนเปรอ


คนโง่ เอาแต่ใจตนเอง จึงได้รับความ สะใจเป็นผล และความรังเกียจเป็นรางวัล


คนฉลาด เอาใจคนอื่น จึงได้รับ ความลำบากเป็นผล และความรักเป็นรางวัล


คนเจ้าปัญญา ไม่เอาทั้งสองอย่าง แต่เอา สัจจะที่ก่อให้เกิดประโยชน์สุขทุกฝ่ายเป็นที่ตั้ง จึงได้รับคุณค่าเป็นผล และได้รับศรัทธาเป็นรางวัล


ว่าด้วยความบ้า


คนโง่ เมาคำพูด จึงประคองสติไม่อยู่ พลั้งพูดพล่อยบ่อยๆ สร้างกรรมและศัตรูมากมาย


คนฉลาด บ้าความคิด เขม่าเต็มขมอง จึง เต็มไปด้วยจิตหลอน สร้างมายาหลอกตนและ คนอื่นมากมาย


คนเจ้าปัญญา บ้าความสงบ จึงพบสติ เต็มตื่น รู้อยู่เป็นหลักให้ตนและคนอื่นได้


ว่าด้วยการบริหารสิ่งเร้า


คนโง่ มักไหลตามสิ่งเร้าที่เข้ามายั่วเย้า จึงแปรปรวนไปไม่รู้จบ


คนฉลาด มักปฏิเสธสิ่งเร้าที่เข้ามายั่วเย้า จึงเป็นตัวของตัวเองอย่างมาก แต่คับแคบอย่างยิ่ง


คนเจ้าปัญญา นิยมบริหารสิ่งเร้าที่เข้ามา ยั่วเย้า จึงสามารถกลั่นหาประโยชน์สูงสุดจากทุกสิ่งในทุกสถานการณ์


ว่าด้วยความจริงจัง


คนโง่ เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิต เป็นเรื่องจริงจังจึงเครียดแทบบ้า


คนฉลาด เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิต เป็นเรื่องเล่นๆ จึงสนุกสนานไร้สาระ


คนเจ้าปัญญา เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตเป็นตัวเร่งวิวัฒนาการ จึงรุ่งเรืองรวดเร็ว


ว่าด้วยการขจัดความชั่วร้าย


คนโง่ ยอมทำชั่วหนึ่งเพื่อแก้ปัญหาหนึ่ง จึงได้รับแต่โทษทุกข์ฑัณท์ ทับถมทวีคูณ


คนฉลาด ย่อมทำดีแม้หลายอย่าง เพื่อ แก้ปัญหาหนึ่ง จึงได้รับความสุขสันต์ หลังเหน็ดเหนื่อยหนักหนา


คนเจ้าปัญญา ย่อมทำบริสุทธิ์เพื่อหลุด จากสารพันปัญหา จึงได้รับความเบิกบานนิรันดร์


ว่าด้วยสำนึกในส่วนรวม


คนโง่ คิดแต่เรื่องส่วนตัว ทำอะไรก็เพื่อตนเอง แม้อาจทำให้คนอื่นเสียหาย จึงเป็นที่รังเกียจ สังคมไม่ต้องการ


คนฉลาด คิดแต่เรื่องส่วนรวม ทำอะไรก็ เพื่อส่วนรวม แม้อาจทำให้ตนเสียหาย สังคมต่าง ต้องการแต่ตน ไม่อาจตั้งอยู่ได้


คนเจ้าปัญญา คิดแต่เรื่องคุณธรรม ทำอะไร ก็เพื่อประโยชน์สุขทุกฝ่ายในทุกกาลเวลา จึงเป็นที่ ต้องการของทุกฝ่าย ในขณะที่เขาอาจจะไม่ต้องการ ใครเลย


ว่าด้วยความจริงจัง


คนโง่ ประเมินค่าคนจากปริญญา จึงรู้จัก แค่ตรายี่ห้อปะติดชีวิต


คนฉลาด ประเมินค่าคนจากความสามารถ จึงรู้จักคุณภาพของชีวิต


คนเจ้าปัญญา ประเมินค่าของคนจากความ เอื้อประโยชน์ จึงรู้จักประโยชน์แท้แห่งชีวิตจริง


ว่าด้วยค่าของคน


คนโง่ ประเมินค่าคนจากปริญญา จึงรู้จัก แค่ตรายี่ห้อปะติดชีวิต


คนฉลาด ประเมินค่าคนจากความสามารถ จึงรู้จักคุณภาพของชีวิต


คนเจ้าปัญญา ประเมินค่าของคนจากความ เอื้อประโยชน์ จึงรู้จักประโยชน์แท้แห่งชีวิตจริง


ว่าด้วยการแสวงหา


คนโง่ งุ่มง่ามแสวงหาคุณค่าภายนอกตน ยิ่งพบมากก็ยิ่งเห็นว่าตนต้อยต่ำ จึงยอมตนเป็นทาส


คนฉลาด งุ่นง่านแสวงหาคุณค่าในตน ยิ่ง พบมาก ก็ยิ่งเห็นว่าตนล้ำค่า จึงหลงตัวเอง


คนเจ้าปัญญา ย่อมแสวงหาคุณค่าสากล ยิ่งพบมากก็ยิ่งเห็นความธรรมดาในทุกสิ่งจึงมี เป็น และบริโภคทุกสิ่งเหมือนไม่มี ไม่เป็น


ว่าด้วยการบริหารศรัทธา


คนโง่ รู้อะไรก็เชื่อไว้ก่อนว่าจริง หรือ ไม่จริง จึงงมงามอย่างยิ่ง


คนฉลาด รู้อะไรก็ไม่เชื่อไว้ก่อนว่าจริง หรือไม่จริง แต่เอามาทดลอง จนเห็นชัด จึงเชื่อ จึงมีเหตุผลอย่างยิ่ง


คนเจ้าปัญญา รู้อะไรก็ไม่สนใจว่าจริง หรือไม่จริง สนใจเพียงว่ามีประโยชน์และมีโทษเพียงใด แล้วสกัดโทษทิ้ง บริโภคเฉพาะประโยชน์ จึงได้คุณค่าแห่งการรู้ในทุกสิ่ง


ว่าด้วยระบบธรรม


คนโง่ ปรับธรรมะเข้าหาคน จึงได้คน จำนวนมากเดินตามธรรมะเทียม


คนฉลาด ปรับคนเข้าหาธรรมะ จึงได้คน จำนวนน้อยอยู่รักษาธรรมะแท้


คนเจ้าปัญญา ปรับธรรมะและคนเข้าหากัน ณ จุดแห่งประโยชน์สูงสุดที่เหมาะสมและเป็นไปได้ จึงได้คนจำนวนพอดีอยู่รักษาธรรมะที่ดีพอ


ว่าด้วยความเป็นธรรม


คนโง่ ชอบเรียกหาความเป็นธรรม จนบ่อย ครั้งใช้กระบวนการที่ไม่เป็นธรรมในการเรียกหา จึงพาให้ยิ่งห่างไกลความเป็นธรรม


คนฉลาด ชอบสร้างความเป็นธรรม ปั้นแล้ว ปั้นอีก ปั้นอย่างไรก็ไม่เป็นธรรมแท้ แม้พยายามถึงที่สุด เพราะความเป็นธรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับ ปรารถนาของใคร จึงเป็นความหวังดีที่ล้มเหลวเสมอไป


คนเจ้าปัญญา ชอบประพฤติธรรม ดำรงอยู่ และดำเนินไปโดยธรรม จึงได้สิทธิพิเศษโดยธรรม
- จบ -


....
คัดลอกบทความจาก
โดย ชัยวัฒน์ ทองพริก บล้อกท่องเที่ยวใต้สู่แดนธรรม

1 ความคิดเห็น:

  1. ผมว่าจริงนะถ้าจะนำมาประยุกฃ์ใช้ในชีวิตประจำวัน

    ตอบลบ

ยินดีต้อนรับความคิดเห็นดีๆ ติชมบทความตามพอเหมาะ

สายฝน แห่งชีวิต ปล่อยความทุกข์ กังวลไหลไปตาม สายน้ำ ไม่ยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวาง





ใบไม้ร่วงโรย ชีวิตล่วงเลย แต่ใจไม่ร่วงหล่น