จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2564

บทความดีๆของชีวิต:หลายอย่าที่จะทำให้คุณหลุดพ้น


 

อย่าอยู่กับคนที่ทำให้คุณรู้สึกด้อยค่า

อย่าแคร์คนที่ไม่สนใจว่าคุณจะรู้สึกอย่างไร

อย่าเสียน้ำตาให้คนที่ไม่เคยหันมามอง เวลาคุณร้องไห้

อย่าเสียความเป็นตัวเองให้คนที่ไม่ให้เกียรติคุณ

อย่าหมดความมั่นใจ เพราะคำพูดของใครบางคน

อย่าเสียเวลาพิสูจน์ ในสิ่งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว

อย่ายอมทำทุกอย่าง เพียงแค่อยากเอาชนะ

อย่าเบียดเบียนตัวเอง เพราะแค่อยากให้เขาพอใจ

อย่าเสียสละความสุข เพื่อแลกกับความรักปลอมๆ

อย่าฉุดรั้ง คนที่ไม่ได้ต้องการมีคุณอยู่ในชีวิต

อย่ายื้อเวลา เพื่อให้เขาทำร้ายใจคุณซ้ำๆ

อย่าถามหาเหตุผลจากคนที่ชอบใช้แต่อารมณ์

อย่ารอคำขอโทษจากคนที่ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองผิด

อย่าเสียเวลาอธิบายให้คนที่ไม่อยากรับฟัง

.

มันไม่ง่ายที่จะตัดใครสักคนจากชีวิต

แต่มันก็ไม่ยาก ถ้าคุณรักตัวเองมากพอ

คุณต้องตัดสินใจ ว่าจะทนอยู่กับความรู้สึกแย่ๆ

หรือเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ “เลือก” อีกครั้ง

อย่ากลัวการสูญเสีย 

จนตัวเองกลายเป็นคนที่ “ไม่มีอะไรจะเสีย!”

.

(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต) 

Credit : Puipinnarat

วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2564

เบิกเนตร:สถาบันพระมหากษัตริย์กับการเมือง

 


พระมหากษัตริย์ กับ ผู้ถือหุ้นบริษัท

เจ้าของประเทศ กับ เจ้าของบริษัท

ตอนที่ 2 “กษัตริย์ทรงปกเกล้าแต่ไม่ทรงปกครอง””


……………………………………….…………………………….

บทบาทของพระมหากษัตริย์


• เป็นประมุขของชาติ 

• เป็นที่เคารพสักการะสูงสุด

• เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน 

• เป็นสัญลักษณ์แห่งความต่อเนื่องของชาติ

• พระมหากษัตริย์ มีส่วนสำคัญในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและทำให้การบริหารงานประเทศเป็นไปด้วยดี 


……………………………………….…………………………….

อำนาจทางการเมืองของพระมหากษัตริย์


• ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติผ่านรัฐสภา

• ทรงใช้อำนาจการบริหารผ่านคณะรัฐมนตรี

• ทรงใช้อำนาจตุลาการผ่านทางศาล


ซึ่งภาษากฎหมายอาจทำให้ชาวบ้านตาสีตาสาเข้าใจว่า พระมหากษัตริย์มีอำนาจทางการเมืองเต็มรูปแบบ


แต่ความจริง พระมหากษัตริย์ไม่ได้มีอำนาจทางการเมืองจริง อำนาจทางการเมืองเหล่านั้นเป็นของรัฐสภา รัฐบาลและศาล ซึ่งเป็น 3 สถาบันหลักในระบอบประชาธิปไตยที่มีอำนาจและหน้าที่ในบริหารงานราชการแผ่นดิน


……………………………………….…………………………….

บทบาทหน้าที่เกี่ยวกับประชาธิปไตยของพระมหากษัตริย์


• ทรงยอมรับและอุ้มชูระบอบประชาธิปไตยให้ดำรงอยู่ได้ต่อเนื่อง

• ทรงช่วยแนะนำรัฐบาลด้านการปกครองยามจำเป็น

• ทรงช่วยยับยั้งเหตุการณ์รุนแรงให้ผ่อนคลาย

• ทรงใช้อำนาจอธิปไตยในนามของประชาชนชาวไทย

• ทรงเป็นกลางทางการเมือง


……………………………………….…………………………….

บทบาทที่เกี่ยวกับประชาชนของพระมหากษัตริย์


• ออกเยี่ยมเยียนราษฎร ช่วยเหลือ และห่วงใยในความเป็นอยู่ของราษฎร

• สร้างความเป็นปึกแผ่นของคนภายในชาติ

• มีบทบาทในการช่วยพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ ทำให้ราษฎรมีความเป็นอยู่ดีขึ้น


……………………………………….…………………………….

สรุป


จะเห็นได้ว่า พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ใต้กฎหมาย แต่อยู่เหนือการเมือง


• อยู่ใต้กฎหมาย คือ ทรงมีบทบาทและหน้าที่ ตามที่กฎหมายกำหนด


• อยู่เหนือการเมือง คือ ทรงไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ไม่ฝักใฝ่หรือสนับสนุนฝ่ายการเมืองใด และไม่ทรงมีอำนาจและหน้าที่ใดๆ ในการบริหารราชการแผ่นดิน


ซึ่งทั้งหมดนี้แปลเป็นภาษาชาวบ้านได้ว่า…


ความผิดพลาดในการบริหารราชการแผ่นดินหรือการฉ้อราษฎร์บังหลวง นั้นเกิดจากการบริหารงานของนักการเมืองและการทำงานของข้าราชการ ภายใต้ 3 สถาบันหลักในระบอบประชาธิปไตย อันประกอบด้วยรัฐสภา รัฐบาลและศาล ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจและหน้าที่ในบริหารงานราชการแผ่นดิน ไม่ใช่พระมหากษัตริย์


________________________________________

“เจ้าของบริษัท”


“ผู้ถือหุ้น คือเจ้าของธุรกิจ”ที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยถือครองหุ้นจำนวนหนึ่งหุ้นหรือมากกว่านั้น ในบริษัทมหาชนหรือบริษัทเอกชนตามสัดส่วนของจำนวนหรือมูลค่าของหุ้น


โดยทั่วไปแล้วสิทธิทางกฎหมายของผู้ถือหุ้นจะประกอบด้วย 6 ประการ คือ 

• สิทธิในการรับเงินปันผล

• สิทธิในการเป็นเจ้าของธุรกิจ

• สิทธิในการลงคะแนนเสียงและตัดสินใจในกิจกรรมต่างๆ เช่น การเลือกกรรมการบริษัท การเลือกผู้บริหาร

• สิทธิในการได้รับรายงานเกี่ยวกับสถานภาพทางการเงินของธุรกิจ

 • สิทธิในการกล่าวโทษหรือฟ้องร้องบริษัทและเจ้าหนี้

• สิทธิในการซื้อขาย โอน หรือรับโอนหุ้นกับผู้ถือหุ้นอื่น


________________________________________

โดยทางกฎหมาย “ผู้ถือหุ้น คือเจ้าของธุรกิจ” จะไม่ต้องรับผิดชอบหนี้ของบริษัท


……………………………………….…………………………….

“ผู้บริหารบริษัท”


กรรมการผู้จัดการ (MD) ในระบบอังกฤษ หรือ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ในระบบอเมริกัน คือ ตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดในบริษัทเอกชนหรือมหาชน


ในกรณีที่นิติบุคคล(บริษัทเอกชนหรือมหาชน)กระทำความผิดกฎหมาย ให้ถือว่ากรรมการหรือกรรมการผู้จัดการหรือประธานเจ้าหน้าที่บริหารของนิติบุคคลนั้นเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดกับนิติบุคคลนั้น


……………………………………….…………………………….

สรุป 


ผู้ถือหุ้นของบริษัท ไม่มีหน้าที่การบริหารธุรกิจ และไม่ต้องรับผิดต่อการคอร์รัปชั่นหรือความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการของบริหารธุรกิจ และกรรมการผู้บริหารบริษัทคือผู้รับผิดชอบต่อการบริหารและการดำเนินธุรกิจ


ในทำนองเดียวกัน พระมหากษัตริย์ (หรือแม้แต่ประชาชน) ซึ่งเป็นเจ้าของประเทศ ไม่มีหน้าที่การบริหารราชการแผ่นดิน และไม่ต้องรับผิดในการฉ้อราษฎร์บังหลวงหรือความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการบริหารราชการแผ่นดิน และนักการเมืองและข้าราชการคือผู้รับผิดชอบต่อการบริหารราชการแผ่นดิน


________________________________________

หลักการสำคัญประการหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข คือ การแยกประมุขของรัฐ (Head of State)  อันได้แก่พระมหากษัตริย์ ออกจากหัวหน้ารัฐบาล (Head of government) อันได้แก่นายกรัฐมนตรี


พระมหากษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์ของประเทศ รัฐบาล รัฐสภา และศาล (ในภาวะปกติ) หรือคณะปฏิวัติ รัฐประหาร (ในภาวะไม่ปกติ) คือผู้ใช้อำนาจอย่างแท้จริงในนามของกษัตริย์ 


และเป็นผู้ใช้อำนาจเหล่านั้นนั่นเองที่ต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการกระทำของตน


“กษัตริย์ไม่ทรงต้องรับผิด” หรือ “The king can do no wrong” ที่ว่า “no wrong” เพราะ “The king” ไม่ได้ทำอะไรเลยจึง “no wrong” 


ไม่ได้ทำอะไรเลย ที่หมายถึง ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในทางการเมืองและในการบริหารราชการแผ่นดินไหว


สมดังคำกล่าวที่ว่า “กษัตริย์ทรงปกเกล้าแต่ไม่ทรงปกครอง”


โปรดติดตามตอนต่อไป


……………………………………….…………………………….

อัษฎางค์ ยมนาค


ตอนที่ 1 :    https://www.facebook.com/1234993066616474/posts/4191955487586869/?d=n     

……………………………………….…………………………….

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2564

บทความดีๆของชีวิต:ทบทวนตัวเองบ้าง


 

ทบทวนตัวเอง ..
ในวันว่างๆ บ้างก็ดีนะ

จะได้รู้ว่า ..
เรากำลังทุกข์ใจ 
กับเรื่องอะไรมากไปรึเปล่า
ค่อยๆคิด ค่อยๆแก้ไขกันไป

จะได้รู้ว่า ..
เราอยู่กับอะไรแล้วมีความสุข
แล้วเลือกอยู่กับสิ่งนั้นให้มากขึ้น

ใครที่ดีต่อใจ ..
ก็ควรอนุญาตให้อยู่ในชีวิต
หากใคร ไม่ใช่ก็ควรตัดทิ้งไปซะ

ชีวิตเราควรเบิกบาน ..
ให้มากกว่าเป็นทุกข์

เราควรสบายใจ ..
ให้มากกว่ากังวลใจ

ถ้ามันจะไม่โอเคบ้าง ..
ก็ไม่เป็นไร คิดซะว่า
ก็แค่ "บางวัน" เท่านั้นเอง😊

.
💜#ต่างกันที่ใจ

เบิกเนตร:ทำไม ร.๙ ถึงเซ็นรัฐประหาร


 “พระมหากษัตริย์ กับ ผู้ถือหุ้นบริษัท”

เจ้าของประเทศ กับ เจ้าของบริษัท

ตอนที่ 1 “ทำไม ร.9 ลงนามให้กับการรัฐประหาร”


……………………………………….…………………………….

เมื่อวานผมรับโทรศัพท์จากญาติผู้ใหญ่ที่ผมเคารพนับถือ ปกติผมจะไม่พูดคุยหรือพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพูดคุยกับญาติพี่น้องหรือเพื่อนพ้องในเรื่องการเมือง เพื่อหลีกเลี่ยงและป้องกันปัญหาที่น่ารำคาญใจ


แต่บ่อยครั้งการสนทนามักจบลงด้วยเรื่องการเมือง ที่อาจทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายบาดหมางกันเสมอไป


เมื่อวานนี้ก็เช่นกัน มันจบลงด้วยคำกล่าวของญาติผู้ใหญ่ของผมว่า ท่านยกยอและเทิดทูนในหลวงรัชกาลที่ 9 แต่…. (การลงท้าย ด้วยคำว่าว่า แต่…. คือตัวปัญหาเสมอ)


แต่รัชกาลที่ 9 เซ็นรัฐประหาร คืออะไร?


……………………………………….…………………………….

ผมเป็นคนใจเย็นมาก ถึงมากที่สุด แต่ถ้าใครกล่าวหาให้ร้ายในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งผมถือว่าพระองค์เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในชีวิตที่ผมประสบพบเจอ ผมจะอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ และผมถือเป็นหน้าที่ของผม ของประชาชนคนไทย ที่จะต้องแก้ต่างให้พระองค์


ผมยกตัวอย่างเปรียบเทียบระหว่างพระมหากษัตริย์ กับ ผู้ถือหุ้นบริษัท เพื่อให้ชาวบ้านอย่างเราๆ เห็นภาพตามคำอธิบายได้ง่ายๆ


คงไม่มีใครปฏิเสธว่า แต่ดั่งแต่เดิมพระมหากษัตริย์ คือเจ้าของประเทศ (พระองค์ได้มอบความเป็นเจ้าของประเทศให้กับประชาชนหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475)


ผมตั้งคำถามว่า บริษัทใหญ่ยักษ์ในประเทศไทยทั้งหมด เช่น ปตท การบินไทยฯลฯ มีใครคือเจ้าของบริษัท


ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กรรมการผู้จัดการ หรือผู้ถือหุ้นของบริษัท


คำตอบคือ 

ผู้ถือหุ้น คือเจ้าของบริษัท ใช่หรือไม่


ประเทศไทยก็เหมือนกัน!


เจ้าของประเทศ คือพระมหากษัตริย์ (และในปัจจุบันคือประชาชนทุกคน)


ผู้บริหาราชการแผ่นดินหรือผู้บริหารประเทศ ไม่ใช่ พระมหากษัตริย์หรือประชาชน แต่เป็น รัฐบาล รัฐสภาและศาล


เช่นเดียวกับบริษัทเอกชน บริษัทมหาชน ที่ผู้บริหารธุรกิจคือ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กรรมการผู้จัดการ กรรมการบริหารของบริษัทและผู้จัดการฝ่ายต่างๆ


ผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท ไม่มีอำนาจหรือหน้าที่ในการบริหารงาน


แต่การกระทำใดๆ ในการบริหารบริษัท ผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท ต้องได้รับการรับรู้


เช่นเดียวกับ การกระทำใดๆ ในการบริหารราชการแผ่นดิน พระมหากษัตริย์ ต้องได้รับการรับรู้


……………………………………….…………………………….

นอกจากนี้ พระมหากษัตริย์ยังมีบทบาทเป็นประมุขของประเทศ อันเป็นที่เคารพสักการะสูงสุด 


ดังนั้นกฎหมายทุกฉบับที่ออกมาเพื่อใช้บริหารประเทศ โดยรัฐบาลหรือรัฐสภา(ในภาวะปกติ) หรือคณะรัฐประหาร(ในภาวะไม่ปกติ) จะต้องทูลเกล้าถวายให้ลงพระนาม


ซึ่งพูดด้วยภาษาชาวบ้านได้ว่า…


ในภาวะปกติ รัฐสภา รัฐบาลและศาล คือผู้ใช้อำนาจร่วมกันในการบริหารประเทศ (ไม่ใช่ในหลวง)


ดังนั้น…

รัฐสภาเสนอแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ในหลวงก็ต้องลงพระนาม

รัฐสภาผ่านร่างงบประมาณ ในหลวงก็ต้องลงพระนาม

รัฐบาลจะออกกฎหมายบริหารประเทศอย่างไร ในหลวงก็ต้องลงพระนาม


เมื่อเกิดการรัฐประหาร คณะรัฐประหารจะกลายเป็นผู้มีอำนาจบริหารประเทศ (ไม่ใช่ในหลวง)


ดังนั้น…

เมื่อเกิดรัฐประหาร ในหลวงก็ต้องลงพระนามว่าเกิดรัฐประหารแล้ว และคณะรัฐประหารจะเข้ามามีอำนาจในการบริหารปกครองบ้านเมือง


คณะรัฐประหารออกกฎหมายบริหารประเทศอย่างไร ในหลวงก็ต้องลงพระนาม


ซึ่งไม่ได้หมายควาใว่า ในหลวงสั่งให้รัฐบาล รัฐสภา ศาล กระทำการใดๆ ในการบริหารบ้านเมือง


หรือสั่งให้คณะรัฐประหารทำการรัฐประหาร


……………………………………….…………………………….

กิจกรรมทางการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดิน ขึ้นอยู่กับนักการเมือง(ในภาวะปกติ) และคณะรัฐประหาร(ในภาวะไม่ปกติ)


กฎหมายที่ออกโดยรัฐสภา รัฐบาลหรือคณะรัฐประหาร ที่ทูลเกล้าให้ลงพระนามนั้น ถ้าในหลวงไม่ลงพระนาม กฎหมายนั้นก็จะถูกบังคับใช้อยู่ดี เพราะพระมหากษัตริย์ไม่ได้มีอำนาจจริง ในทางการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดิน


มิหนำซ้ำ เมื่อเกิดการปฏิวัติหรือรัฐประหาร คณะปฏิวัติหรือคณะรัฐประหารนั้นมีอำนาจสูงสุด สูงขนาดว่าสามารถล้มล้างการปกครอง และล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ด้วยซ้ำ ซึ่งหมายความว่าคณะปฏิวัติหรือคณะรัฐประหารมีอำนาจเหนือพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่พระมหากษัตริย์มีอำนาจสั่งให้ทำการปฏิวัติหรือรัฐประหาร 


……………………………………….…………………………….

ดังนั้น เมื่อการบริหารที่ผิดพลาด หรือมีการคอร์รัปชั่น หรือการกระทำผิดกฎหมาย ผู้ที่ต้องรับผิดชอบ ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ติดคุกติดตาราง 


ในบริษัทเอกชน มหาชน คือประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กรรมการผู้จัดการและกรรมการบริหารของบริษัท


ไม่ใช่ผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท


ในระดับประเทศ คือ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ประธานรัฐสภา ผู้แทนราษฏร ผู้พิพากษาในศาลและคณะรัฐประหาร


ไม่ใช่ พระมหากษัตริย์ และประชาชน ซึ่งเป็นเจ้าของประเทศ


นึกภาพออกมั้ย!


……………………………………….…………………………….

พระมหากษัตริย์ ก็เหมือนประชาชนคนไทยทุกคน ที่ไม่มีส่วนในการบริหารราชการแผ่นดิน


พระมหากษัตริย์มีข้อแตกต่างกับประชาชน ในเรื่องบทบาท ที่ทรงเป็นประมุขของชาติ ซึ่งมีหน้าที่ในการลงพระนาม 


ในขณะที่ประชาชนมีบทบาทในการเลือกผู้แทนไปทำหน้าที่แทนประชาชนในสภา เพื่อออกกฎหมายและเลือกรัฐบาลมาทำงาน


……………………………………….…………………………….

ความจริงอีกอย่างที่คนมองข้าม ทั้งที่ประชาชนควรเป็นผู้ยอมรับ ว่ารัฐประหารที่เกิดขึ้น มีจุดเริ่มต้นของปัญหามาจากตัวประชาชนเอง 


ประชาชนเป็นคนเลือกคนขี้โกง เข้าไปเป็นผู้แทนในสภา ทำให้สภาได้รัฐบาลที่ขี้โกงมาบริหารประเทศ ที่สร้างปัญหาการคอร์รัปชั่น แล้วมันก็จบลงเมื่อผู้ที่มีกำลังต้องการล้างไพ่ด้วยการทำรัฐประหาร


……………………………………….…………………………….

สรุปได้ว่า 


ตัวประชาชนนั้นเอง คือผู้ที่ใช้อำนาจเลือกนักการเมืองขี้โกงเข้าไปบริหารประเทศ แล้วพระมหากษัตริย์ต้องลงพระนาม (ในการกิจการบริหารบ้านเมืองที่ผู้แทนขี้โกงที่ถูกเลือกโดยประชาชน) โดยไม่มีทางเลือกอื่นใด


แต่เมื่อเกิดการคอร์รัปชั่นในการบริหารบ้านเมือง (ซึ่งมาจากนักการเมืองขี้โกงที่เข้าไปบริหารประเทศ) จากคนที่ประชาชนเป็นผู้เลือกเข้าไปเอง 


ทั้งนักการเมืองและประชาชนกลับโยนความผิดให้พระมหากษัตริย์ เพียงเพราะพระมหากษัตริย์ต้องลงพระนาม(ซึ่งเป็นไปตามบัญญัติในรัฐธรรมนูญ)ในการกระทำทั้งหลายของนักการเมืองที่ประชาชนเลือกมาเอง


และสุดท้ายเมื่อเกิดรัฐประหาร เพราะนักการเมืองโกงกันจนถึงทางตัน นักการเมืองและประชาชนก็กลับโยนความผิดให้พระมหากษัตริย์ซ้ำอีก เพียงเพราะพระมหากษัตริย์ต้องลงพระนามให้คณะรัฐประหาร


รัฐประหารที่เกิดขึ้นเพราะประชาชนเลือกนักการเมืองขี้โกงเข้าไปบริหารประเทศ


การลงพระนามให้คณะรัฐประหาร (ในภาวะไม่ปกติ)ก็เป็นบทเดียวกันกับการลงพระนามให้กับรัฐสภาและรัฐบาล (ในภาวะปกติ) ซึ่งเป็นไปตามบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ที่พระมหากษัตริย์ต้องลงพระนามในการกระทำทั้งหลายของผู้ที่มีอำนาจในการบริหารบ้านเมือง ในพระปรมาภิไธย เพราะทรงอยู่ในฐานะประมุขของชาติ ไม่ว่าผู้มีอำนาจบริหารบ้านเมืองจะเป็น รัฐสภา รัฐบาล หรือรัฐประหาร


พอจะเห็นภาพกันมั้ย!


ถ้ามีเวลาและมีแรงอ่านต่อ ผมจะขยายความให้ฟัง 

โปรดติดตามตอนต่อไป


ถ้าคิดว่ามีประโยชน์ช่วยเปิดเนตรลุงป้าน้าอาลูกหลานไทย แชร์เลยครับ


……………………………………….…………………………….

อัษฎางค์ ยมนาค


บทความดีๆของชีวิต:ทิ้งตัวตนไปบ้างชีวิตก็มีความสุข

 


。บางครั้งก็เกิดความภูมิใจมากที่รู้สึกว่า ข้อดีประการเดียวของฉันก็คือ ต่ำต้อยกว่าเธอ ดังนั้นจึงอิสระ


。เพราะเข้าใจความไพศาลและหลากหลายของโลก และตระหนักถึงความจำกัดและคับแคบแห่งตน จึงอนุญาตให้ตัวเองไม่เข้าใจคนอื่น และอนุญาตให้คนอื่นไม่เข้าใจตนเอง 

ดังนั้นไม่พยายามจะครอบงำเจตจำนงของใครอื่น และไม่ทุ่มตัวลงในระบบการประเมินค่าที่คนอื่นกำหนดอย่างง่ายดาย

นี่กระมังคือความโดดเดี่ยวที่อิสระที่สุด คือการกบฏที่อ่อนโยนที่สุด

คุณจะสร้างโลกใบเล็กซึ่งแสวงความเหมือนคงความต่าง กลมกลืนแต่ไม่พ้องกัน สงบเงียบแต่ชืดชาขึ้นรอบตัวคุณ 


。เงาคือคู่ของแสง ทั้งสองรักกันแต่ไม่เคยเปลี่ยนอีกฝ่าย และไม่เปลี่ยนตัวเอง ทั้งสองเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยและสอดรับกันไปตลอด ไม่อาจครอบครองกันแต่ก็ไม่อาจแยกจากกัน ทั้งสองต้องอยู่ร่วมกัน มิฉะนั้น ก็ดับไปด้วยกัน 

ชอบการพึ่งพาที่ลึกที่สุดชนิดนี้ ชอบความรักที่อิสระที่สุดชนิดนี้


。ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏขึ้นในชีวิต ล้วนไม่อาจครอบครอง เป็นได้เพียงประสบการณ์  คนที่เข้าใจข้อนี้ได้ลึกซึ้ง จะเข้าใจได้ว่า ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสูญเสีย เป็นได้เพียงเคยผ่านพบ ทั้งไม่มีสิ่งที่เรียกว่าล้มเหลว แต่มีเพียงประสบการณ์  ใช้ใจที่มองอย่างชื่นชมดูชีวิต จะเห็นว่าทุกการได้และเสีย ทุกสิ่งที่ซ่อนเร้นและปรากฏ ล้วนเป็นทัศนียภาพและความน่าสนใจ


。หากมีคนให้คำมั่นสัญญากับเธอ ต้องเชื่อว่าในนาทีที่เขาอ้าปากนั้น เขาจริงใจ อย่าสงสัย

หากมีคนละทิ้งคำสัญญา ต้องเชื่อว่าก่อนหน้านั้นเขาไม่รู้ว่าเขาจะทำไม่ได้ อย่าเรียกร้อง

หากมีคนหลอกลวงเธอ ต้องเชื่อว่าเขาอาจคิดปกป้องตัวเอง อย่าเปิดโปง

หากมีคนหลอกตัวเอง ต้องเชื่อว่าเขาเพียงยังยอมรับความจริงไม่ได้ ให้เวลาเขาสักนิดเถิด


。หากยอมรับได้ว่าตัวเองไม่งามพร้อมเพียงนั้น ก็ไม่ต้องรีบแต่งหน้าทาแป้งพราง

หากยอมรับได้ว่าตัวเองไม่ได้ยิ่งใหญ่ปานนั้น ก็ไม่ต้องรีบร้อนไปพิสูจน์

หากละทิ้งอคตินานาของตนได้ ก็ไม่ต้องวุ่นวายกับการตอบโต้

หากไม่ใส่ใจสายตาที่คนอื่นมองตน ก็ไม่ต้องร่ำร้องไปร้องเรียน

หากสามารถช้าลงครึ่งจังหวะ เงียบลงครึ่งครู่ ก้มหัวลงครึ่งหนึ่ง ก็ สามารถแย้มยิ้มได้ตลอด


。คนที่รู้จักหาความเพลิดเพลินให้ตัวเองนั้น แท้จริงแล้วล้วนเป็นเด็กที่โดดเดี่ยวแต่ก็ไม่อยากทำลายความโดดเดี่ยวอย่างง่ายๆ  ดังนั้น พวกเขาจึงเรียนรู้วิธีหาความสุขได้โดยลำพังคนเดียว และความสุขชนิดนั้น ก็เป็นความสุขที่จะไม่สูญเสียไปง่ายๆ


... คำ : จาซีลาหมู่ ตัวตัว [扎西拉姆·多多] นักเขียนสาวชาวจีน ใฝ่พุทธศาสนา ไปเรียนศาสนาพุทธที่ทิเบต

... ถอดคำ : วิภาดา กิตติโกวิท ©#MADMAN_BOOKS

... ภาพ : ทาจิริ มายูมิ - 田尻真弓


。有時候會很自豪地覺得,我唯一的優勢就是,比你卑微。於是自由。


。因為了解到世界的廣大與多元,並覺知到自我的局限與狹隘,所以允許自己不懂得他人,也允許他人不懂得自己;所以不試圖凌駕他人的意志,也不輕易投身於他人制定的評價體系。這大概就是最自由的孤獨,最溫柔的叛逆。你將在你身邊營造出一個求同存異、和而不同的小世界,寧靜而淡泊。


。影子是光的妻,他們相愛卻從不改變對方,也不用改變自己。他們變換著又彼此適應著;他們無法佔有也無法分離;他們必須同時存在,否則,同時消亡。喜歡這一種,最深的依賴,喜歡這一種,最自由的愛。


。人生中出現的一切,都無法擁有,只能經歷。深知這一點的人,就會懂得:無所謂失去,而只是經過而已;亦無所謂失敗,而只是經驗而已。用一顆瀏覽的心,去看待人生,一切的得與失、隱與顯,都是風景與風情。


。如果有人向你承諾,要相信開口的那一剎那他是真實的,不要懷疑。如果有人背棄承諾,要相信他之前並不知道自己是做不到的,不要苛求。如果有人欺騙你,要相信他也許只是想保護自己,不要說破。如果有人欺騙自己,要相信他只是還無法承受真相,給他點時間。


。如果可以接受自己也不那麼完美,就不用忙著去粉飾了;如果可以承認自己並不那麼偉大,就不用急著去證明;如果可以去放棄自己的種種成見,就不用吵著去反駁了;如果可以不在乎別人怎麼看自己,就不用哭著去申訴了;如果可以慢半拍,靜半刻,低半頭,就可以一直微笑了。 


。那些特別懂得自娛的人,其實都是孤獨卻又不願輕易打破孤獨的孩子。所以他們學會了獨自一個人的快樂方式,而那種快樂,恰是最不容易失去的

บทความดีๆของชีวิต:เหตุของการจากเเละผลลัพภ์ของการจากลา


 ทุกการจากลา...ล้วนมีสาเหตุ


บ้างเพราะ .. จังหวะของเวลา

บ้างเพราะ .. ความอ่อนล้า หมดแรง

บ้างเพราะ .. ความเข้าใจผิด

บ้างเพราะ .. ความคิดไม่ตรงกัน


บ้างเพราะ .. เดินบนทางคนละสาย

บ้างเพราะ .. ความตายที่มาพราก

บ้างเพราะ .. ทิฐิ

บ้างเพราะ .. ขาดสติที่มากพอ


และ.. ทุกการจากลา ล้วนมี “ ผลลัพธ์ ”


บ้างคือ... ชีวิตที่ดีขึ้น

บ้างคือ... ชีวิตที่แย่ลง

บ้างคือ... ความสงสัย ที่เต็มไปด้วยคำถาม

บ้างคือ... ข้อพิสูจน์ ของความพยายามที่ไร้ผล


บ้างคือ... รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ

บ้างคือ... หยาดน้ำตา ที่ลัดเลาะไปตามแก้ม

บ้างคือ... การเดินออกไป เพื่อเจอกับ “ ความสุข ”

บ้างคือ... การดำดิ่ง กับ “ ความทุกข์ ” แบบไม่ไปไหน


สาเหตุ... ย่อมนำมาซึ่ง “ ผลลัพธ์ ”

แม้บาง.. ผลลัพธ์ เราอาจจะไม่ชอบ

แต่...“ การเปลี่ยนแปลง ”

“ คำตอบ ”... มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย


ดังนั้น... หากอยากได้

“ ผลลัพธ์ ”.. ที่เป็นคำตอบดีๆ

สิ่งที่เรา... ควรทำ ก็คือ...

การทำ..“ สาเหตุที่มา ”..ให้มันดี


ไม่ใช่... พอเจอเรื่องไม่ดีแล้ว

ก็มัวเอาแต่... นั่งโทษดิน

โทษฟ้า... โทษชะตากรรม


เพราะ...“ หนึ่งสมอง สองมือ ”

และ... สองขา ของเราต่างหาก

ที่กำลัง...“ กำชะตาชีวิต ” ของตัวเราเองอยู่


“ กำชะตา ”..น๊ะ ไม่ใช่... #ชะตากรรม


อยาก “ กำชะตา ” แบบไหน..? เอาไว้

ก็... ใส่ “ ความพยายามอย่างตั้งใจ ” ลงไป


บทความดีๆของชีวิต:ไม่ลืมอดีต เเต่อยู่กับปัจจุบัน

 


เป็นไปไม่ได้หรอก ..

ที่เราจะลืมอดีตได้

และไม่มีทาง ..

ที่เราจะไม่นึกถึงอนาคต

แต่ไม่ว่าจะยังไง ..

ปัจจุบันคือจุดที่เรามีพลังที่สุด

อดีตจะแย่สักแค่ไหน ..

อนาคตจะสวยงามสักเพียงใด

แต่ปัจจุบันคือทุกอย่างของชีวิต


.....

เพจ #ดูแลตัวเองบ้าง

cr: เจ้าของบทความ

บทความดีๆของชีวิต:ชีวิตที่เข้าใจคนอื่น

 


เพราะรู้ซึ้งถึงคุณค่าในอิสรภาพของตนเอง

ด้วยเหตุนั้น ฉันจึงไม่ละเมิดอิสรภาพของใคร


เพราะเข้าใจในห้วงยามอันเหน็บหนาวมืดมิด

ด้วยเหตุนั้น ฉันจึงไม่ตอกย้ำซ้ำเติมชีวิตผู้ใด


เพราะกระหายใคร่ในคำว่ามิตรภาพจากก้นบึ้ง

ด้วยเหตุนั้น ฉันจึงจริงใจในทุกการหยิบยื่น


เพราะกริ่งเกรงการทำร้ายทำลายด้วยถ้อยวาจา

ด้วยเหตุนั้น ฉันจึงยั้งคิดไตร่ตรองทุกถ้อยคำ


เพราะรักยิ่งในความหมายของคำว่าสุขสงบ

ด้วยเหตุนั้น ฉันจึงวางตนดั่งส่วนหนึ่งในวิถีของมัน


เยือกเย็นทว่าอ่อนโยน ปกปักอย่างทะนุถนอม

ลงมือกระทำ ทว่าไร้การกีดขวางรบกวน


การเข้าใจผู้อื่น ล้วนหวนคืนจากการเข้าใจตน

ออกท่องไกลแสนไกล หาใช่หนทางเดียวสู่ปลายทาง


ผิดถูกผ่านพ้นมาอย่างไร สนทนากับใจจึงได้รู้

.

เครดิต : เสียงบ่นของต้นไม้

𝑺𝒊𝒏𝒈𝒏𝒖𝒆𝒏𝒈𝒕𝒉𝒊𝒄𝒉𝒂𝒃𝒐𝒌 : 𝒑𝒂𝒈𝒆

บทความดีๆของชีวิต:มองสิ่งที่มี


 

ความสุข ความโชคดี ในแต่ละวัน
มันก็อยู่ไม่ไกลเรานักหรอก

ลองมองไปรอบๆ ตัวเรานะ
แล้วจะเห็นว่าความสุข ความโชคดี
มันอยู่ใกล้ๆ ตัวเราเสมอ

โชคดีจัง! ยังมีงานทำ
โชคดีจัง! ยังมีข้าวกิน
โชคดีจัง! ยังมีลูกๆ ให้เลี้ยง
โชคดีจัง! ยังมีครอบครัว
โชคดีจัง! ยังมีเพื่อน
โชคดีจัง! ยังมีที่นอน
โชคดีจัง! ที่มีคนให้รัก และดูแล
โชคดีจัง! ที่ยังหายใจได้ด้วยตัวเอง

หามุมโชคดีของตัวเองให้ได้
แล้วใจของเราจะสุขกว่าที่เป็นอยู่
.
𝐶𝑟𝑒𝑑𝑖𝑡 : 𝐹𝑜𝑟𝑤𝑎𝑟𝑑 𝐿𝑖𝑛𝑒
  

บทความดีๆของชีวิต:ชีวิตก็เป็นเช่นนี้เเหล่ะ


 

ในวันที่เรา

อยากให้ฝนตก

แดดกลับออก


ในวันที่เรา

อยากให้แดดออก

ฝนกลับตก 

ฟ้าฝนดันไม่เป็นใจ


ในวันที่อยากเข้มแข็ง

ปัญหากลับทำให้เราอ่อนแอ


และในวันที่เราอยากมีความสุข

กลับมีความทุกข์เข้ามา


ไม่มีอะไรที่ได้ดั่งใจเรา

ไปซะทุกอย่างหรอก


เราต่างมีวันที่เราชอบ

และไม่ชอบทั้งนั้น


☔️


Cr.GuessWut

บทความดีๆของชีวิต:คนเรามีเวลาบนโลกนี้เเค่ 3วัน


 คนเราเกิดมาบนโลกนี้มีเวลาแค่3วัน

วันที่1คือ

เมื่อวาน เราใช้มันไปแล้ว เราไม่สามารถย้อนกลับไปไ้ด้อีก

วันที่2คือวันนี้ วันนี้เราอยากจะทำให้ทำทันที อะไรที่ทำให้เราไม่มีความสุขทำให้ไม่สบายใจก็ตัดออก

มองคนที่อยู่ตรงหน้า มองคนที่เค้ารักเราไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์สิ่งของ

วันที่3 คือพรุ่งนี้ มันยังไม่มาถึงและมีหลายๆคนที่พรุ่งนี้ไม่ตื่นอีกเลย

ฉะนั้นจงทำวันนี้ในแต่ละวินาทีให้ดีที่สุดอย่าใช้ชีวิตประมาทอย่าโกรธเคือง อย่าอิจฉาริษยา

อะไรปล่อยผ่านได้ให้ปล่อยแล้วมามองที่เรา

กรรมที่ดีก็เกิดอยู่ที่เรา กรรมที่เลวก็เกิดอยู่ที่เรา

เลือกเอาและคิดเอาว่าตราบใดที่น้ำยังใหล

ชีวิตของเราก็ใหลไปเรื่อยๆ สั้นไปเรื่อยๆ

อย่ายึดติดสิ่งที่ทำให้ใจขุ่นมัวอีกเลย .


วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2564

บทความดีๆของชีวิต:อย่าปล่อยให้เวลาเสียไป

 


#ใช้ชีวิตให้คุ้มค่า

.

อยากทำอะไร... ให้ลงมือทำ! 

อยากพูดอะไร... ให้พูดออกไป!

อยากมีชีวิตแบบไหน... ก็ใช้ชีวิตแบบนั้น!

.

จงใช้เวลาของคุณให้คุ้มค่า เพราะว่าเวลาไม่เคยคอยใคร ดีกว่ามานั่งเสียใจทีหลัง ว่าน่าจะทำตั้งแต่ตอนนั้นตอนที่ยังมีโอกาส น่าเสียดายที่ไม่ได้พูดออกไป อะไรที่คุณคิดว่าเป็นความตั้งใจที่ดี ผ่านการคิดมาดีแล้ว จงทำมันเมื่อมีโอกาส และให้พูดสิ่งนั้นออกไปเถอะ 

.

อย่าปล่อยทุกอย่างให้ผ่านไปอย่างไร้ค่า แต่จงใช้ทุกอย่างที่มีให้คุ้มค่า

.

.

#Nationbooks #เนชั่นบุ๊คส์ #Lifestyle #ใช้ชีวิต #ข้อคิด

บทความดีๆของชีวิต:กฏ 5 ข้อ ของคนมีความสุข


 กฎ 5 ข้อ ของคน ...

👉 โคตรมีความสุข 👈


1. Let it go

อะไรที่ผ่านไปแล้ว..ให้ผ่านไป

อย่าจมปลัก..กับเรื่องที่จบไปแล้ว

“ ทิ้งอดีต ” แล้ว..อยู่กับปัจจุบัน


2. Get a move on

ก้าวไปข้าวหน้า ...

ไม่ว่า...จะเกินอะไรขึ้น

ไม่เสียเวลา, คร่ำครวญ


3. Follow your heart

ทำตาม “ หัวใจเรียกร้อง ”

อยากเป็น..แบบไหน

อยากไปที่ไหน.. อยากทำอะไร

ตัดสินใจทันที “ไม่สร้างเงื่อนไข”


4. Think Positive

เชื่อมโยงทุกอย่างกับ “ความคิดบวก”

หาเหตุผลเพื่อ “ขอบคุณ” สิ่งที่เกิดขึ้น


5. Carelessness

ไม่แคร์อะไร ที่..ไม่จำเป็น

เพราะชีวิตของเรา “ สั้น ”

เกินกว่า..ที่เราจะไม่ทำอะไร

ที่มี “ ความสุข ” ...

ใช้ชีวิต, ให้เป็น “ของขวัญ”


ทำเถอะ..!!

แล้วจะ “ โคตรมีความสุข ” 😚

บทความดีๆของชีวิต:เห็นคุณค่าของเวลาชีวิต


 ถ้าเราไม่ต้องตาย 

วันแต่ละวัน เวลาแต่ละวินาที ก็จะดูไม่มีค่า 

เหมือนกับเด็กวัยรุ่นที่ไม่เห็นค่าของเวลา

.

ตรงกันข้ามกับคนป่วยหนักหรือเป็นมะเร็ง

 ส่วนใหญ่จะเห็นค่าของวันเวลาที่เหลืออยู่

 เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วเห็นเช้าวันใหม่

 แค่นี้เขาก็มีความสุขแล้วที่วันนี้ยังไม่ตาย


 ยังมีเวลาที่จะได้ทำสิ่งที่อยากทำ

 ความรู้สึกแบบนี้จะไม่มีกับวัยรุ่น

หรือแม้แต่คนทั่วไปเพราะเขาคิดว่า

ยังมี เวลาเหลือเฟือในโลกนี้

.

ความสุขจะหาได้ง่ายขึ้นมาก 

ถ้าเราตระหนักว่าเราต้องตายไม่ช้าก็เร็ว

 มีบางคนที่ทุกเย็นเมื่อได้เห็นหน้าลูก

 หน้าสามีภรรยา แค่นี้เขาก็มีความสุข และขอบคุณชีวิต

.

ในขณะที่หลายคนกลับมีความสุขยากเหลือเกิน

 ต้องการโน่น ต้องการนี่ ตัวเองมีอยู่แล้วก็ไม่พอ

 ก็เพราะเขาลืมว่าสักวันหนึ่งเขาต้องตาย 

ไม่ว่าจะได้อะไรมาก สักวันหนึ่งก็ต้องสูญเสียมันไป


.

พระไพศาล วิสาโล

เบิกเนตร: คำว่า พอเพียง เพียงเเค่ไหน


 

“...พอเพียงนี้มีความหมายกว้างขวางยิ่งกว่านี้อีก คือคำว่าพอก็เพียงพอ เพียงนี้ก็พอดังนั้นเอง คนเราถ้าพอในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าทุกประเทศมีความคิด “อันนี้ไม่ใช่เศรษฐกิจ” มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่า พอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข 


พอเพียงนี้อาจจะมีมาก อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น ต้องให้พอประมาณตามอัตภาพ พูดจาก็พอเพียง ทำอะไรก็พอเพียง ปฏิบัติตนก็พอเพียง...”


พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆที่เข้าเฝ้าฯ ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๑

บทความดีๆของชีวิต:ไม่ต้องอะไรทุกเรื่องก็ได้

 


"นี่อาจจะเป็น..วิธีที่มีความสุข"

...

1. ไม่ต้องเถียง..ทุกเรื่อง

.

2. ไม่ต้องชนะ..ทุกครั้ง

.

3. ไม่ต้องพูด..ทุกอย่างที่คิด

.

4. ไม่ต้องมีความเห็น..กับทุกหัวข้อ

.

5. ไม่ต้องพูด..ทุกความรู้สึกที่มี

.

6. ไม่ต้องรีบ บอกรัก เก็บไว้ก่อน..ก็ได้

.

7. ไม่ต้องรอ..การยอมรับจากคนอื่น

.

8. ไม่ต้องเป็นที่หนึ่ง..หรือที่สุดตลอดเวลา

.

9. ไม่ต้องแสดงให้เห็นว่า..“ ฉันเก่ง ”

.

10. ไม่ต้องใช้สิ่งของ..บอกเล่า “ ความสำเร็จ ”

.

11. ไม่ต้องแคร์..การตัดสินจากทุกคน

.

12. ไม่ต้องเก็บทุกเสียง..มาคิด

.

13. ไม่ต้องได้ดั่งใจ..ไปทุกอย่าง

.

14. ไม่ต้องตั้งกฎเกณฑ์..กับตัวเองเคร่งครัดนัก

.

15. ไม่ต้องงดน้ำตาล ช็อกโกแลต ของทอดตลอดเวลา

.

16. ไม่ต้องหวังว่า..ทุกอย่างจะต้องได้ ภายในวันนี้

.

17. ไม่ต้องสำเร็จทุกเรื่อง แค่..สำเร็จบ้างก็พอ

.

18. ไม่ต้องรอเรื่องใหญ่ๆ “ ยิ้ม ” ให้กับ..เรื่องเล็กๆ เป็น

.

19. ไม่ต้องอยาก “ มีความสุข ”

.

20. ไม่ต้องเชื่อ..ไอ้คนที่เขียนมาตั้ง ยี่สิบข้อ


ทันใดนั้น หัวเราะเลย พลันเป็นสุข..!!

เริ่มต้นวันดีๆ ด้วยสิ่งดีๆ

เริ่มต้นชีวิต ด้วยการคิดบวก


#ขอบคุณผู้เขียนบทความนี้

บทความดีๆของชีวิต:คนไม่รู้คุณ


 ...“ แล้งน้ำใจ ”...


คุณ.. ยืมเงินผม 100 บาท

บอกว่า.. พรุ่งนี้จะคืนให้

พอ... วันรุ่งขึ้น

คุณ.. กลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

พอค่ำนั้น.. ผมทักเรื่องนี้ขึ้นมา

คุณ.. กลับตอกกลับผมมาว่า...

“ ทำไมใจแคบจังวะ เงินแค่.. 100 บาท จะอะไรกันนักหนา..? ”

แถม.. ยังเอาไปเล่าให้.. คนอื่นฟัง

ใน.. ทางเสียหาย

ผลสุดท้าย .. กลายเป็น “ ผมใจแคบ ”

ไม่มีน้ำใจ .. กับเพื่อน

มิน่าล่ะ .. โบราณถึงว่าไว้...

“ เนื้อไม่ได้กิน .. หนังไม่ได้รองนั่ง

กลับเอา.. กระดูกมาแขวนคอ ”


...“ ความเป็นคน ”...

สูงส่งกันที่ .. รู้คุณ สำนึกคุณ

คนอื่น.. ยื่นมือช่วย คุณ..“ ควรสำนึก ”

แต่.. หากไม่สำนึก ก็ไม่เป็นไร

อย่า..“ ทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาป ”


ผม.. ให้คุณยืม 5 หมื่น

เขา.. ให้คุณยืม 1 แสน

คุณ.. เที่ยวไปคุยกับใครๆ ว่า...

เขา.. มีน้ำใจให้คุณมากกว่าผม

แต่.. คุณไม่รู้...

เขา.. มีเงินอยู่ในมือ 1 ล้าน

ผม.. มีเงินอยู่ในมือ 5 หมื่น


ผม.. ให้ลูกกวาดคุณ 1 เม็ด

พอเห็นผม.. ให้คนอื่น 2 เม็ด

คุณ.. เอาไปบอกใครๆ ว่า...

ผม.. ลำเอียง เลือกที่รักมักที่ชัง

แต่คุณ.. ไม่เคยรู้ว่า...

เขา.. เคยให้ลูกกวาดผมก่อนหน้านั้น 2 เม็ด

ในขณะที่.. คุณไม่เคยให้ลูกกวาดผมเลย..สักเม็ด


“ เพื่อนเอ๋ย ”.. ที่ช่วยคุณ

เพราะ..“ น้ำใจ ”..

ไม่ช่วยคุณ.. ก็ไม่ได้หมายความว่า...

..... “ แล้งน้ำใจ ”.....

Cr : นุสนธิ์บุคส์

ภาพประกอบบทความ ชัยวัฒน์ ทองพริก

บทความดีๆของชีวิต:อะไรสำคัญที่สุดในชีวิต

 


#เมื่อเราล้มป่วย ..

จึงรู้ว่า .. “ สุขภาพสำคัญที่สุด ”


เมื่อตกงาน ..

จึงรู้ว่า .. “ มีงานทำสำคัญที่สุด ”


เมื่อเศร้าใจ ..

จึงรู้ว่า .. “ ความสุขใจสำคัญที่สุด ”


เมื่อสูญเสีย ..

จึงรู้ว่า .. “ มีครอบครองสำคัญที่สุด ”


เมื่อแก่ตัว ..

จึงรู้ว่า .. “ วัยเยาว์นั้น..ดีเพียงใด ”


เมื่อโดดเดี่ยว ..

จึงรู้ว่า .. “ มีเพื่อนนั้น..ดีเพียงใด ”


เมื่อนอนไม่หลับ ..

จึงรู้ว่า .. “ หัวถึงหมอนแล้ว..กรนเลยนั้น..ดีเพียงใด ”


เมื่อกลายเป็นเพียง ' ความทรงจำ ' ..

จึงรู้ว่า .. “ ตอนนั้น..ดีเพียงใด ”


" เงิน " หาได้เท่าไหร่..? ถึงเรียกว่า .. “ มาก ”

หาได้เท่าไหร่..? ถึงเรียกว่า .. “ น้อย ”


ตอนกิน .. แต่ท้องไม่ยอมย่อย

ต่อให้มีกินเต็มโต๊ะ .. ก็กลืนลงท้องไม่ได้


ตอนป่วยหนัก .. จนถึงขั้นสุดท้าย

ต่อให้ .. '' มีเงินทองกองเท่าภูเขา ''

ก็ .. ซื้อ '' ชีวิต '' ต่ออีกอาทิตย์ .. ไม่ได้


'' ถนอมรักษา '' สิ่งที่มี .. อยู่ในตอนนี้

หากวันหนึ่งไม่มี .. 👉 จะได้ไม่เสียใจ 👈



บทความดีๆของชีวิต:อยากรู้จักใครสักคนต้องหัดรู้ให้พื้นที่ชีวิตของเขา

 


การที่... เรา" จะคบหา หรือ..รู้จักใครสักคน

ไม่ว่า... จะในฐานะอะไร ก็ตาม... 

สิ่งหนึ่งที่ควรท่อง ... ควรจำ" ไว้อยู่เสมอ

ก็คือ... “ คน ” เป็นสิ่งมี " ชีวิต " 

ทีมีทั้ง..ด้านบวก และ..ด้านลบ อยู่ในนั้น...

อย่า... ตั้งใจกับคน 1 คน มากเกินไป ...

เพราะ... ไม่มีใคร..? อยากเป็นต้นเหตุของ " ความล้มเหลว " และ.." ผิดหวัง " ...

อย่า... คาดหวังกับ คน 1 คน มากเกินไป ...

เพราะ... ไม่มีใคร..? สามารถเป็นทุกอย่างที่... ทุกคน" อยากให้เป็น

อย่า... ให้เวลากับคน 1 คน มากเกินไป ...

เพราะ... ไม่ว่าใคร..? ก็อยากมี " ช่วงเวลา " ของความเป็น... ส่วนตัวคนเดียว 

อย่า... พยายามเปลี่ยนแปลงคน 1 คน มากเกินไป ...

เพราะนั่น... จะทำให้เค้า" ไม่หลงเหลือ... " ความเป็นตัวของตัวเอง 

อย่า... ควบคุมชีวิตคน 1 คน มากเกินไป ...

เพราะ... มนุษย์มักจะ ... หาวิธีการแทรกตัว เพื่อ... ออกมาจาก " กฎ " ที่ถูกกำหนด ...

อย่า... บีบบังคับคน 1 คน มากไปกว่านี้ ...

เพราะ... ถ้าคนๆ นั้น หลุด... จาก " ภาวะบีบบังคับ " มาได้

คุณ... จะกลายเป็นคนที่... " ถูกหันหลังให้ในทันที " ...

" อยากรู้จัก " ใครสักคน..?? 

ต้องหัดเรียนรู้ ... ไม่ใช่เปลี่ยนแปลง .


บทความดีๆจาก  : ForwardLine

วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2564

บทความดีๆของชีวิต:ผู้เข้าใจเวลาของชีวิต


คนที่แบ่ง “โลกส่วนตัว” กับ “โลกภายนอก” ได้ดีมากๆ จะมีอาการแบบนี้

.

- ยิ่งโตขึ้น อายุมากขึ้น ยิ่งไม่อยากคุยอะไรกับใครนานๆ

เพราะ เวลานั้นมีค่ามาก เอาไปทำในสิ่งที่ควรทำดีกว่า

.

- ชอบดูอะไรหลายอย่าง แต่เก็บไว้อ่านเองคนเดียว

เพราะ ไม่อยากให้ใครมารบกวนทางความคิด

.

- อัพชีวิตในเฟสไม่บ่อย แค่พอดีๆ บางทีก็หายไปซักพัก

เพราะ ชอบการใช้ชีวิตในโลกแห่งความจริง ในความเป็นตัวเองมากกว่า

.

- เริ่มเบื่อที่จะแต่งตัวเยอะๆ หากวันไหน

ใส่ชุดธรรมดาๆ ได้ทั้งวัน จะดีใจมาก

เพราะ เบาสบายไม่ต้องระวังว่าใครจะมองเราเป็นไง

.

- จะคิดถึงคนอื่นมากขึ้น ระวังหลายอย่างมากขึ้น

.

เช่น บางเรื่องรู้นะ แต่พูดไปก็ไม่เป็นดีกับคนอื่น งั้นไม่พูดเลยดีกว่า

เพราะ เข้าใจว่าคนอื่นก็มีปัญหามากพออยู่แล้ว

.

- ไม่ค่อยอยากไปไหน แต่ถ้าได้ไป มันต้องสุดๆไปเลย

เพราะ อยากเก็บทุกโมเมนต์ ความทรงจำดีๆ โอกาสดีๆ

ที่ต่อให้ทำซ้ำๆ ไปบ่อยๆ ยังไงก็ไม่มีทางเหมือนกัน

.

.

ไม่มีใครเป็นตัวเองได้ 100% เวลาอยู่กับคนอื่น

หรือต้องออกไปสู่โลกภายนอก สุดท้ายแล้ว "โลกส่วนตัว"

คือสิ่งที่ทุกคนต้องมีไว้ และยิ่งเข้าใจตัวเองในโลกส่วนตัวได้มากเท่าไร

การใช้ชีวิตใน "โลกแห่งความจริง" ก็จะดีมากขึ้นตามลำดับ

.

"พักในโลกส่วนตัว ให้พร้อมในโลกแห่งความจริง"


ขอบคุณผู้เขียนบทความ 

ขอบคุณเจ้าของภาพประกอบ.🥰

 

วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2564

บทความดีๆของชีวิต:อย่าไปคิดเยอะกับชีวิต

 


อย่าไปคิดเยอะกับชีวิต

ว่าเวลานี้ต้องได้อะไร

เวลานี้ต้องมีอะไร

เวลานี้ยังขาดอะไร

ไม่ว่าจะชีวิตตอนนี้จะเป็นแบบไหน

จะมีหรือไม่มีเทียบเท่ากับใครๆ

อะไรคว้ามาได้...."ก็ยินดี"

อะไรสุดมือสอย...."ก็ปล่อยไป"

เราเป็นเพียงแขกมาเยือนบนโลกนี้

สักวันเราก็ต้องไปเช่นกัน เมื่อถึงเวลา

ทุกคนมองความตายเป็นเรื่องไกลตัว

เพราะยังไม่เกิดกับเรา ยังไม่เกิดกับคนใกล้ชิดเรา เราจึงประมาทในการใช้ชีวิตมาก

ทำทุกวินาทีนี้ดีหรือยัง

หมั่นทำความดีที่ควรทำแล้วหรือยัง

ลด-ละ-ความโกรธ-เกลียด-อาฆาตหรือยัง

ลด-ละ-กิเลสทั้งมวล ที่นำเราไปสู่ความเสื่อมทั้งมวลแล้วหรือยัง

มีเวลาก็อย่ารอ อย่าผลัดวันประกันพรุ่งในการมำความดี ลดละความชั่ว เพราะเราไม่รู้ว่า คืนนี้เราจะหลับและมีโอกาสได้ตื่นอีกหรือไม่

จากให้ยินดี

ยังอยู่ให้หมั่นสร้างความดี


❤😇

บทความดีๆของชีวิต:อยู่ให้ ที่ใครๆก็รัก


 ※ อยู่ให้ใครๆ เขาก็รัก ※

.

1. รูปร่างเป็นสิ่งแรกที่จับตาคน หากรูปร่างไม่ดี

ก็จงทำตัวเองให้มีความสามารถเฉพาะทางสักหนึ่งอย่าง

หากความสามารถเฉพาะทางก็ไม่มี จงเอารอยยิ้มเป็นการผูกมิตร

กับผู้คน (อย่าเป็นคนหน้าตาไม่ดีแถมนิสัยยังไม่ดีอีกต่างหาก)

2. บุคลิกเสื้อผ้าหน้าผมมีส่วนสำคัญ

หากปรับแล้วมันไปคนละทาง

ก็เน้นที่สมถะเรียบง่ายแต่ดูดีก็พอ

3. เวลาไหว้ใครหรือจับมือใคร

อย่าเพิ่งรีบลดมือลงหรือปล่อยมือก่อน

ค้างไว้สักครู่ดีกว่าไหว้และจับมือแบบขอไปที

4. ขึ้นต้นการสนทนาด้วยคำว่า

"พวกเรา" ให้ความรู้สึกที่ดีกว่า

5. อย่ายืมเงินเพื่อน หากหลีกเลี่ยงไม่ได้

เพราะจำเป็นต้องยืม ก็ต้องรีบใช้คืน

6. เวลามีแขกมาเยี่ยมบ้าน

อย่ายัดเยียดให้เขาดูอัลบั้มรูปของคนในครอบครัว

7. ยืนหยัดที่จะไม่นินทาผู้อื่นลับหลัง

ไม่ต้องกลัวว่าคำพูดเหล่านั้น จะไปไม่ถึงคนที่ถูกนินทา

8. หากใครมานินทาคนอื่นให้คุณฟัง

อย่าร่วมผสมโรงหรือพยักหน้า แค่ยิ้มก็พอ

9. อย่าปฏิเสธเมื่อเจ้าบ้านนำน้ำมาให้ดื่ม

แม้จะอิ่มอย่างไร หรือรู้สึกว่าแก้วน้ำเขาไม่สะอาดอย่างไร

ก็ควรดื่มให้เป็นมารยาท

10. อย่าเล่าเรื่องอดีตให้ใครเขาฟังจนหมดเปลือก

เหลือทางให้เขาได้รู้สึกดีบ้าง หากปูมหลังของเราไม่ดี

;yนหนึ่งมีคนรู้เข้า ก็ให้เขาเลือกคบเราที่ปัจจุบัน

หากเขาเลือกมองเราที่อดีตก็ช่างเขา

11. ให้เกียรติและใส่ใจเขาแม้เขาจะไม่ชอบขี้หน้าคุณ

กับคนที่ไม่ชอบขี้หน้าให้ใส่ใจเรื่องงานไม่ใส่ใจเรื่องส่วนตัว

12. ประเมินตัวเองข้อเสียให้คนอื่นฟังบ้าง

อย่าเจอหน้าเมื่อไหร่ก็โอ้อวดตัวเองให้เขาฟังอย่างเดียว

13. ฝึกชื่นชมคนอื่นบ้าง

แม้เรื่องนั้นจะเป็นสิ่งเล็กน้อยในความรู้สึกของคุณ

แต่อาจเป็นเรื่องใหญ่แล้วสำหรับเขา

14. อย่าเห็นการที่คนอื่น

ยื่นมือเข้ามาให้การช่วยเหลือเป็นเรื่องปกติ

เรียนรู้ในการเป็นคนมีจิตสำนึกคุณ

15. อย่าเอาแต่พูดโดยไม่ยอมรับฟัง

จะทำให้เรื่องราวบานปลาย ฝึกเป็นคนรับฟังบ้าง

จะได้รู้สึกว่าการที่ต้องทนนั่งฟังคนอื่นพล่ามนั้น

มันน่าเบื่อเพียงใด?

16. เคารพผู้ที่อยู่ในฐานะด้อยกว่า

ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน คนสวน เด็กวิ่งเอกสาร

ไม่มีเขาเหล่านั้นทำงานเหล่านี้แทนเรา

เราเองนั่นแหละที่ต้องทำงานเหล่านั้น

17. เวลาต้องปรบมือในที่ประชุม

อย่าตระหนี่การเอามือสองข้างไปกระทบกัน

18. ก่อนตั้งคำถามคิดให้รอบคอบ

คำถามบางคำไม่อยากถามก็ควรถาม

"แหวนเธอสวยจัง แพงน่าดูเลยใช่หรือเปล่า?"

บางคำถามต่อให้อยากรู้ ก็ไม่ต้องถาม

"พ่อแม่เธอตายหรือยัง"

19. เปลี่ยนคำว่า "ไม่"

เป็น "ขอพิจารณาก่อนนะครับ/คะ , ผมจะพยายาม ,

หากหนูได้คำตอบแล้วหนูจะติดต่อกับไปนะคะ"

20. โลกนี้ไม่มีมิตรหรือศัตรูที่ถาวร

ไม่มีเรื่องใดถูกผิดจนไม่อาจแก้ไข

บางคนที่เป็นคู่อริในวันนี้ พรุ่งนี้อาจกลายเป็นคนสนิท

เรื่องที่ไม่ถูกใจในวันนี้ เราอาจเป็นคนกระทำในวันรุ่งขึ้น

ฉะนั้น อย่ากัดไม่ปล่อย

.

บทความดีๆจาก  : ForwardLine

บทความดีๆของชีวิต:ปล่อยวางบ้างพื้นที่ใจจะได้เบาลง


 ในชีวิตเรา ต้องการเพียงไม่กี่อย่าง

เพื่อชีวิตที่มีความสุข


อะไรที่มันหนัก เก็บไว้ก็รกพื้นที่สมอง

ปล่อยวางมันลงบ้าง จะได้เบาลง


เราไม่จำเป็นต้องเก็บทุกอย่าง

สัมภาระที่แบกในแต่ละวัน

ไม่ต้องมากจนก้าวเท้าต่อไม่ไหว


บางสิ่งเปลืองพื้นที่หัวใจ

มีแล้วบั่นทอนความสุข ก็ทิ้งไป


บางสิ่งไม่จำเป็น

มีแล้วทำให้เศร้า ก็ทิ้งไป


ทิ้งสิ่งที่ทำให้ทุกข์

แต่เก็บเกี่ยวบทเรียนจากมัน


แล้วใช้วลาที่เหลือ

กับสิ่งที่ทำให้เรายิ้มได้


เพราะนั่นคือวิธีที่แสดงว่า

เรานั้นปรารถนาดีต่อตัวเอง


เลือกให้คุณค่ากับความสุข

มากกว่าเพิ่มเวลาให้กับความทุกข ์


เพราะเราไม่มีความจำเป็น

ที่จะต้องเก็บทุกอย่างในชีวิตหรอก

.

เครดิต : จักรวาลเคียงข้างเรา

𝑺𝒊𝒏𝒈𝒏𝒖𝒆𝒏𝒈𝒕𝒉𝒊𝒄𝒉𝒂𝒃𝒐𝒌 : 𝒑𝒂𝒈𝒆

บทความดีๆของชีวิต:ความทุกข์ทำให้คุณค่าความสุขชัดเจนมากขึ้น

 


▪︎๑๑▪︎๐๖▪︎๒๕๖๔▪︎

เมื่อโลกได้สร้าง

ความหนาวเหน็บขึ้นมาเพื่อ

เป็นบททดสอบของ "ชีวิต" 

.

และโลกก็ได้สร้าง

แสงอาทิตย์มาเพื่อขับไล่

ความเหน็บหนาวเช่นกัน

.

ความเหน็บหนาวในยามค่ำคืน 

จะจางหายไปเมื่อต้องกับ 

"แสงอาทิตย์" ในยามเช้า

.

มันก็เป็นอีกหนึ่งบททดสอบของชีวิต 

ที่บอกให้รู้ว่า 

.

ไม่มีใครที่จะเป็นทุกข์ได้ตลอดไป

ในไม่ช้า ก็ต้องมีแสงแห่งความสุข

สาดส่องเข้ามาในชีวิตเราเช่นกัน

.

และไม่มีใครที่จะสุขได้ตลอดไป 

เมื่อแสงแห่งความสุขลาลับขอบฟ้า

ไป เราก็ต้องหาวิธีรับมือ

กับความมืดที่กำลังคืบคลาน

เข้ามาให้ได้เช่นเดียวกัน

.

เราคงได้ยิน คำๆนี้บ่อยๆ

"ฟ้าหลังฝนมักจะสวยงามเสมอ"

และถ้าหากอยากชื่นชม "สายรุ้ง" 

เราก็ต้องอดทนผ่านพายุฝนไปให้ได้ 

.

เช่นเดียวกัน หากเราไม่เคยพบเจอกับ "ความทุกข์" แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่า "หน้าตาของความสุข" มันเป็นเช่นไร 

.

ความทุกข์หน่ะมันทำให้ 

" คุ ณ ค่ า ข อ ง ค ว า ม สุ ข “ ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ... [นิคคุง]


#มันก็แค่มุมที่มอง

#ถ้าไม่มีคุณก็คงไม่มีเพจนี้

บทความดีๆของชีวิต:จิตใจดีชีวิตดี

 


... จิตใจดี ชีวิตก็ดี


ชีวิต ...

ทุกคนมีได้ครั้งเดียว ยาวบ้างสั้นบ้าง


ดำเนินชีวิต ...

ทุกคนต้องดำเนินไป ทุกข์บ้างสุขบ้าง


โลกไพศาล ...

ใจคนซับซ้อน จะไม่ให้พบคนพาลอย่างไรได้?


โลกมนุษย์ลึกเกินหยั่ง ...

ชีวิตโลกย์อนิจจัง จะไม่ให้มีเรื่องกลัดกลุ้มได้อย่างไร?


ทะนุถนอมความสัมพันธ์ที่จริงใจที่สุด

สัมผัสความสุขที่อยู่ใกล้ที่สุด


กดดันแล้ว เปลี่ยนสิ่งแวดล้อม หายใจลึกๆ

สับสนแล้ว เปลี่ยนมุมมอง ตรองเงียบๆ


เสพอารมณ์ที่สงบงามที่สุด

ปล่อยให้กาละล่วงไป วันคืนผันเปลี่ยน


ไม่ตัดพ้อ ไม่พร่ำบ่น

ไม่หดหู่ ไม่ยอมแพ้


ขยายมุมชีวิต เปิดใจให้กว้าง

ให้อภัยสิ่งผิด ใช้ชีวิตโปร่งสบาย


ไม่มีดอกไม้สด ก็ดมกลิ่นหอมของดินบางเบา

ไร้เสียงปรบมือ ก็เสพความสงบเงียบของการอยู่โดยลำพัง


ฝึกฝนความใจใหญ่ สะสมความยินดีชั่วชีวิต

ค้อมกายลงทำงาน ตั้งใจเป็นคนจริง!


... คำ : ไม่ทราบที่มา

... ถอดคำ : วิภาดา กิตติโกวิท


... 心好,命就好

生命,

每個人只有一次,或長或短,

生活,

每個人都在繼續,或悲或歡。

世界很大,

人心很雜,哪能不遇到小人?

紅塵很深,

人世浮華,哪能沒有煩心事?

珍惜最真的情感,

感受最近的幸福。

壓抑了,換個環境深呼吸;

困惑了,換個角度靜思考。

享受最美的心情,

任時光流轉,歲月變遷。

不抱怨,不言苦,

不憂傷,不認輸,

เครดิตเพจ ©#MADMAN_BOOKS


豁達人生,寬闊心懷,

原諒錯誤,坦然生活。

沒有鮮花;就輕嗅泥土的芬芳,

沒有掌聲,就享受獨處的清寧。

修得胸中雅量,蓄得一生幸福,

俯身去做事,用心去做人!

ภาพ นกเค้ากู่ ถ่ายกับกล้อง sumsung A 10

 ไปติดกัดชาวบ้าน เลยช่วยออกมา เลยถ่ายรูปเก็บไว้ เผื่อใคร จะนำภาพ นกเค้ากู่ ไปใช้ ในการประกอบภาพต่างๆ
















บทความดีๆของชีวิต:อย่ามัวเเต่กวาดใบไม้จนลืมกวาดใจ

 


เรื่อง...พระไม้กวาด


ในสมัยพุทธกาล มีพระรูปหนึ่งชอบกวาดวัด 

จนใครต่อใครพากันเรียกว่า"พระไม้กวาด" 

เพราะไม่ว่าจะไปทางไหนท่านจะถือไม้กวาดติดมือไปด้วยเสมอ


วันหนึ่ง ท่านถือไม้กวาดเดินท่อมๆไปตามลานวัด เห็นพระเรวตะน้องชายพระสารีบุตรนั่งพักกลางวันอยู่ เกิดความไม่พอใจ


"ท่านเรวตะ ทำไมท่านถึงขี้เกียจตัวเป็นขนอย่างนี้ อะไรกันกินข้าวชาวบ้านแล้วมานั่งเฉยๆจะจับไม้กวาดไปกวาดที่ไหนสักแห่งไม่ได้เชียวหรือ"


พระเรวตะเป็นพระอรหันต์ ถูกพระไม้กวาดชี้หน้าด่า ท่านก็ไม่แสดงอาการโกรธเคืองอันใด


"เราควรจะเตือนเขา" พระเรวตะคิดอยู่ในใจ


จากนั้นจึงได้กล่าวกับพระไม้กวาดว่า "ผู้มีอายุ สรงน้ำแล้วมาหาผมหน่อยนะ"


"มาทำไม" พระไม้กวาดเสียงแข็ง


"มาเถอะมีเรื่องจะพูดด้วย" พระเรวตะอ้อนวอน


"พูดเดี๋ยวนี้ก็ได้" พระไม้กวาดวางท่า


"ไปสรงน้ำก่อน แล้วค่อยคุยกัน"


"ก็ได้"


หลังจากสรงน้ำเสร็จแล้ว พระไม้กวาดก็แบกไม้กวาดมาหาพระเรวตะ และทันทีที่มาถึง


"เอ้ามีอะไรว่าไป ท่านเรวตะ"


"ใจเย็นๆ" พระเรวตะขอร้อง


"วางไม้กวาด... หาที่นั่งเสียก่อนซิ"


พระไม้กวาดแสดงท่าไม่พอใจ แต่ก็จำยอมวางไม้กวาดแล้วนั่งลงข้างหน้าพระเรวตะ


เมื่อพระไม้กวาดนั่งเรียบร้อยแล้ว พระเรวตะจึงได้กล่าวเตือนขึ้นว่า

"พระเราไม่ควรจะทำกิจเพียงแค่กวาดวัดเท่านั้น กิจอื่นมีอีกมากมายนัก หน้าที่สำคัญของการบวชในพระพุทธศาสนา คือ การทำลายกิเลสให้หมดสิ้นไป กวาดวัดอย่างเดียวไม่ช่วยให้กิเลสหมดหรอก มิหนำซ้ำจะเป็นการเพิ่มกิเลสเสียด้วยซ้ำ"


พระไม้กวาดมองหน้าพระเรวตะด้วยความสงสัย


พระเรวตะเข้าใจดี จึงกล่าวต่อไปว่า

 "การทำความดี แล้วยึดติดในความดี นั่นแหละคือการเพิ่มกิเลส อย่างเช่นท่านกวาดวัด แล้วมีความภาคภูมิใจว่าตัวเองขยัน เห็นคนอื่นเขาไม่ทำอย่างตัว ก็เลยเหมาเอาว่าคนอื่นเขาขี้เกียจ แล้วไปเที่ยวระรานคนอื่นเขา อย่างนี้ถูกหรือ"


พระไม้กวาดก้มหน้านิ่ง ไม่ตอบ


พระเรวตะจึงแนะวิธีให้ 

"เอาอย่างนี้ซิ ผู้อาวุโส เช้ากวาดเสียครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ไปบิณฑบาต ฉันเรียบร้อยแล้วกลับมาที่พัก อย่าทำอย่างอื่น นอกจากสาธยายอาการ 32 แล้วก็เจริญวิปัสสนาไปด้วย ทำไปจนเย็น แล้วค่อยออกไปกวาดใหม่"


พระไม้กวาดน้อมรับคำเตือนของพระเรวตะ ปฎิบัติตามไม่ช้าไม่นานก็ได้บรรลุธรรม


เนื่องจากลานวัดมีบริเวณกว้าง กวาดแค่เช้ากับเย็นไม่พอ สถานที่ต่างๆก็เลยกลับรก ขึ้นมาอีก แต่ท่านก็ทำใจได้ เพราะวางเฉยเสีย ถือว่าทำเท่าที่ทำได้


พระในวัด ก็ชักสงสัยเลยถามท่าน

 "ท่าน...ที่นี่รกจังเลย ทำไมไม่เห็นค่อยกวาดเล่า"


พระไม้กวาดตอบว่า

 "เมื่อก่อนผมมัวแต่กวาด ที่ข้างนอก ข้างในจึงรก เดี๋ยวนี้ผมกวาดข้างในได้สะอาดแล้ว ข้างนอกจึงรก"

บทความดีๆของชีวิต:บทเรียนดีๆที่ได้จากโควิท

 


บทเรียนที่ได้จากโควิด-19 

===============

1. ต้องมีเงินออมอยู่เสมอ :

โควิดทำให้ได้เห็นว่า...ชีวิตไม่แน่นอน เราจึงควรมีเงินออมติดกระเป๋าไว้เสมอ เพื่อไม่เสียสภาพคล่องในช่วงที่เหตุการณ์ผันผวนแล้วกระทบธุรกิจการงานของเรา

.

 2. หารายได้จากหลายทาง:

การทำธุรกิจเดียวหรืองานการเพียงอย่างเดียวนั้น..เสี่ยงเกินไป ในยุคสมัยปัจจุบัน เพื่อความปลอดภัย เราควรมีรายได้หลายช่องทาง หากทางหนึ่งสะเทือน อีกทางก็ยังพอจะพยุงชีวิตได้ 

.

 3. อย่าปฏิเสธเทคโนโลยี :

โควิดเร่งให้ทุกสิ่งเติบโตในโลกออนไลน์.... การซื้อขายแพร่กระจายไปทั่ว ไม่ว่าทำธุรกิจการงานใดควรศึกษาใส่ใจโลกออนไลน์ไว้ อย่าได้ทิ้ง เพราะโลกมีแต่จะหมุนไปทางนี้มากขึ้นเรื่อยๆ และเร็วขึ้นเรื่อยๆ ทิ้งออนไลน์คือทิ้งโอกาสในอนาคต 

.

4. แยก 'ทรัพย์สิน' กับ 'ภาระ' ให้ออก:

"ถ้าซื้อแล้วสร้างรายได้ อันนั้นคือทรัพย์สิน แต่ถ้าซื้อมาแล้วไม่ก่อรายได้ นั่นคือภาระ" 

.

5. เกิดก็เกิด ตายก็ตาย :

เมื่อลองทำธุรกิจ ต้องยอมรับว่ามีทั้งสำเร็จและล้มเหลว อะไรที่จะตายก็ปล่อยให้มันตาย อย่ากอดมันไว้ ธุรกิจที่ไปไม่ไหวต้องปล่อยมือ แล้วเอาพลังและทุนไปทุ่มกับสิ่งใหม่ โลกมันเปลี่ยนเร็ว ต้องก้าวให้ทัน 

.

6. อย่าสู้ตาย ให้สู้บ้างหลบบ้าง  :

ในวิกฤตใหญ่ขนาดนี้ ลมหายใจของธุรกิจการงานเป็นเรื่องสำคัญ  ถ้ายังประคองลมหายใจไปได้ คนที่รอดจะได้ผลตอบแทนที่ดียิ่งกว่าเดิม สำหรับธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหนัก..อย่าสู้ตาย ให้สู้บ้างหลบบ้าง ต้องผ่อนในจุดที่จำเป็นต้องผ่อน ไม่ต้องสู้เต็มร้อย สู้แต่พอดี ประคองลมหายใจเอาไว้ รอวันฟ้าเปิด

.

 7. ทุกอย่างไม่ว่าอะไร มันจะผ่านไปแน่ๆ :

มันก็เหมือนเหตุการณ์อื่น เดี๋ยวมันจะผ่านไป เดี๋ยวมันจะคลี่คลาย แน่นอนว่า..หลายอย่างจะเปลี่ยนแปลง แต่มันจะไม่แย่ไปตลอด สิ่งต่างๆ จะต้องกลับมา  มองไปข้างหน้า หาโอกาสใหม่ๆ มีพลัง ถ้าเรามองทุกอย่างแย่ เราจะหมดแรง .. ต้องมีความหวังเสมอ  มองไปข้างหน้า สุดท้ายก็ผ่านไปได้ 

.

สุดท้ายโควิดก็จะเป็นอีกเรื่องที่ผ่านไป เราเพียงต้องประคองตัวเองให้อยู่ถึงวันนั้น ปรับตัวตามไปด้วยเสมอ แล้วจะมีโอกาสใหม่ๆ ให้เราสนุกกับมัน ถ้าผ่านไปได้ เราจะเข้มแข็ง ทั้งธุรกิจและจิตใจ

.

คัดย่อ : บทความ คุณตัน ภาสกรนที

บทความดีๆของชีวิต:รักตัวเองให้เป็น

 


◉ รักตัวเองให้เป็น ◉

.

1. หากคุณไม่สบายใจ ก็ออกไปดูโลกภายนอกบ้าง

อย่าจมปลักอยู่ในที่เดิมๆ คุณจะได้รู้ว่าโลกกว้างใบนี้

มีทิวทัศน์ที่สวยงาม มีโอกาสอีกมากมาย

และเวลาของชีวิตเรา ก็สั้นนิดเดียว

อยู่ที่นี่ไม่เป็นสุข ก็แค่เปลี่ยนที่

เปลี่ยนที่แล้วไม่เป็นสุข ก็จงเปลี่ยนตัวเอง


2. หากคนรอบข้าง หรือเรื่องราว

ทำให้คุณไม่เป็นสุข ก็อย่าทำตัวให้ทุกข์

และอย่าทำให้คนที่ไม่รักคุณเพิ่มความทุกข์ให้แก่คุณ

ใครไม่รักคุณ ลองรักตัวเองดูนะ

.

3. อย่าทำตัวอ่อนไหวเป็นพัดลมฮิตาชิ

ที่ได้ยินได้เจอเรื่องราวอะไร ก็เปิดปุ๊บ-ติดปั๊บ

คิดมากก็ทุกข์มาก คิดน้อยก็ทุกข์น้อย

เพราะบางเรื่องคนพูดไม่ทันได้คิด แต่คนฟังดันคิดเก่ง

คนพูดไม่ทันได้จำ คนฟังจำไปสามชาติ

.

4. ต่อให้คนรอบข้างจะปลอบใจ

หรือให้กำลังใจคุณมากสักเพียงใด

คนอื่นก็ไม่อาจเข้าถึงความรู้สึกจริงๆ ของคุณได้

ฉะนั้น เมื่อใดที่อดสู เมื่อใดที่หดหู่

คนที่รักษาคุณได้ดีที่สุด ก็คือตัวคุณเอง

.

5. เมื่อใดที่เหนื่อย ก็ให้กอดตัวเอง

เมื่อใดที่ร้องไห้ ก็ปลอบตัวเองบ้าง

ไม่มีใครคอยกอดคอยปลอบคุณได้ 24 ชั่วโมง

ฉะนั้น จงฝึกรักตัวเองให้เป็น

.

6. หากถูกคนรอบข้างเข้าใจผิด

หากจะอธิบาย ก็จงอธิบายแค่ครั้งเดียวก็พอ

เพราะหากเขาไม่คิดจะเชื่อคุณ

อธิบายสักกี่ครั้ง เขาก็ไม่เชื่ออยู่ดี

เพราะคนที่เชื่อคุณ ไม่ต้องอธิบายเขาก็เชื่อ

.

7. ต่อให้ดีที่สุด วันหนึ่งก็ต้องสูญเสีย

ต่อให้คิดถึงที่สุด วันหนึ่งก็ต้องลบลืม

ต่อให้รักที่สุด วันหนึ่งก็ต้องพรากจาก

ทุกสิ่งมีพบ พราก จาก ลา เป็นธรรมดา

หากวันหนึ่งต้องสูญเสียสิ่งใดไป

จงรู้ไว้! นั่นเป็นเรื่องธรรมดา

.

𝐶𝑟𝑒𝑑𝑖𝑡 : 𝑁𝑢𝑠𝑜𝑛𝐵𝑜𝑜𝑘𝑠

บทความดีๆของชีวิต:จุดมุ่งหมายของชีวิตคู่

 


จุดมุ่งหมายของ(คู่)ชีวิต 

ไม่ใช่การทำยังไงให้อยู่กันจนตายจากกัน 

แต่คือ อยู่ยังไงให้เกื้อกูลต่อกันมากที่สุด

และเบียดเบียนกันน้อยที่สุด 

สาเหตุที่ชีวิตคู่ไปกันไม่ (ค่อย) รอด 

ขาดการเคารพขั้นพื้นฐานซึ่งกันและกัน คือ การขาดความเคารพในการอยู่ร่วมกัน การเป็นครอบครัวร่วมกัน 

ขาดความสม่ำเสมอ คือ ขาดความสม่ำเสมอไม่เหมือนอดีตที่ "โหยหา" อยากได้ อยากครอบครองกันและกัน 

ขาดความใส่ใจ คือ เพราะคิดว่าอยู่กันมานาน ไม่พูด อีกอีกฝ่ายควรจะรู้ อีกฝ่ายควรจะเข้าใจ เลย "คิดไปเอง" ว่า "ไม่เป็นไร" 

ขาดความยับยั้ง คือ เมื่ออะไรไม่เหมือนเดิม สันดานของความเป็นคนของกันและกันก็โผล่ โหยหาความตื่นเต้น ไม่เติมเต็มรสชาดที่เคยมี หลายคู่เอากิเลสนำชีวิต แม้จะรู้ว่าผิด ก็จะทำเพื่อสนองอารมณ์ตัวเอง 

ขาดสติ คือ ไม่มีสติเมื่อมีการกระทบกระทั่ง ไม่ประนีประนอมกัน ฉันถูก ผมถูก ไม่มีใครยอมใคร ฉันชนะ เธอชนะ

ความซวยจึงตกไปอยู่ที่ “ลูก” ที่ต้องมาเจอพ่อแม่ดีแต่ "หลง" กัน แต่ไม่ได้ "รัก" กัน อย่างแท้จริง!!!!! 

“ชีวิตคู่” ถ้าเริ่มต้นด้วยการ "อยากอวด" ว่าตนมี "เหมือน ๆ " ชาวบ้าน ได้มีแต่งงาน ได้มีลูก เหมือน ๆ คนอื่น 

แต่ไม่เคยพิจารณาให้รอบคอบจริงๆ หรือพิจารณากันในระยะเวลาไม่มากพอที่จะให้อีกฝ่ายเผยนิสัยจริงๆ ออกมา เมื่ออยู่ไปแล้ว เกิดกรณีอะไรขึ้นมา ก็ต้องมานั่งทน นั่งบ่นว่ามีกรรม มีทุกข์ เป็นกรรมเก่า เคยก่อไว้กับเขาต้องมาชดใช้ ฯลฯ 

ซึ่งเราเลือกได้จะว่าไม่ทุกข์แต่แรก ก็มีสองทางคือ ก่อนมีคู่ชีวิต จงให้เวลา อย่าเร่งรีบ พิจารณาดีๆ ว่า “ควรมี” กับ “ไม่ต้องมี” อันไหนจะสุขและเติบเต็มความต้องการของเราจริงๆ

“ความรัก” คือองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้ชีวิตทุกคนมีชีวิตชีวา แต่ไม่ได้หมายถึงทั้งทั้งหมดของชีวิตของเรา เพราะเมื่อใดที่เราไม่เตรียมใจ ชีวิตคู่ก็พร้อมจะล่มสลายได้เช่นกัน 

สิ่งที่ควรพิจารณาก่อนเลือกคู่ชีวิต คือ 

1. ศรัทธาไม่เสมอกัน

2. ปัญญาไม่เสมอกัน

3. ทานไม่เสมอกัน คือ ความเสียสละ

4. ศีลไม่เสมอกัน 

เหล่านี้แหละเหตุที่ทำให้อยู่ด้วยกันไม่ได้ 

เพราะความคิดและเส้นทางเดินมันคนละทาง

#เป็นกำลังใจให้เสมอนะ

#นามบุญ

........

@ยิ้ม เพจสาระบทความ 🤟🇹🇭

วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2564

เบิกเนตร การปั้นพระบรมรูป ร.๑

 


เคยสงสัยกันไหมคะว่า “ช่างปั้น” ที่ปั้นพระบรมรูปของบูรพมหากษัตราธิราชนั้น “รู้” ได้อย่างไรว่า “รูปร่างหน้าตา” ของแต่ละพระองค์เป็นเช่นไร

.

วันนี้ #เพจน้ำเงินเข้ม จะพามาไขกุญแจความสงสัยค่ะ

.

เดิมที... นับตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น สยามประเทศของเราไม่เคยมีการสร้างพระบรมรูปพระมหากษัตริย์มาก่อนเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นแบบงานเขียน หรืองานปั้นก็ตาม มีเพียงงานปั้นหรืองานหล่อพระพุทธรูป เทวรูป หรือรูปพระสงฆ์ที่คนนับถือมากเท่านั้น 

.

แม้จะเป็นการสร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์เฉลิมพระเกียรติองค์พระมหากษัตริย์ ก็ยังสร้างขึ้นเป็นพระพุทธรูปแทนพระบรมรูปพระมหากษัตริย์เลยค่ะ

.

กระทั่ง #ในสมัยรัชกาลที่4 อันเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ของสยามประเทศ และเป็นช่วงที่อิทธิพลชาติตะวันตกเข้ามามีอิทธิพลต่อสยามมากขึ้น...นี่เองที่ทำให้สยามประเทศมี #พระบรมรูปพระมหากษัตริย์องค์แรก เกิดขึ้น

.

เรื่องนี้ “สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ” ได้ทรงกล่าวถึงในพระนิพนธ์ “ความทรงจำ-ดำรงราชานุภาพ” อันเผยจุดเริ่มต้นของการสร้างพระบรมรูปพระมหากษัตริย์องค์แรกในสมัยรัชกาลที่ 4 ที่เริ่มจากการมีกษัตริย์ต่างประเทศได้ส่งพระรูปหล่อของตน หรือทั้งของตนและของพระมเหสีมาถวายเป็นบรรณาการแด่รัชกาลที่ 4 หลังจากนั้นจึงได้ถือกำเนิดพระบรมรูปของพระมหากษัตริย์ไทยขึ้นมา 

.

“...มีผู้ส่งรูปพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (องค์ที่ทรงพระมาลาสก็อต) ไปให้ทำเป็นรูปหล่อที่ยุโรปเมื่อ พ.ศ.2406 ช่างปั้นฝรั่งเศสเป็นผู้ปั้น ได้เห็นแต่ฉายาลักษณ์ จึงคิดประดิษฐ์รูปโฉมตามคะเน...ส่งเข้ามาถวายทอดพระเนตรก่อน

.

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตร เห็นรูปพระบรมรูปที่ฝรั่งทำผิดเพี้ยนพระลักษณะมากนัก จึงให้บอกเลิกแล้วดำรัสสั่งให้ช่างไทยปั้นพระบรมรูปขึ้นใหม่อีกองค์ 1 


ให้ทำเป็นอย่างพระบรมรูประบายสีขนาดเท่าพระองค์ แต่การปั้นยังไม่แล้วเสร็จก็สิ้นรัชกาลที่ 4

.

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) โปรดฯ ให้ทำต่อมาจนสำเร็จ ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็น #พระบรมรูปปั้นองค์แรกของพระมหากษัตริย์ไทย ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่พระที่นั่งเวชยันต์วิเชียรปราสาท บนเขาวัง จ.เพชรบุรี 

.

และเมื่อมีพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเช่นนั้นแล้ว รัชกาลที่ 5 จึงทรงมีพระราชดำริว่าควรจะสร้างพระบรมรูปสมเด็จพระจ้าอยู่หัวทั้ง 4 พระองค์…”

.

พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่พระที่นั่งเวชยันต์วิเชียรปราสาท บนเขาวัง จังหวัดเพชรบุรีค่ะ

.

กลับมาที่การสร้างพระบรมรูปองค์พระมหากษัตริย์ 4 พระองค์ (รัชกาลที่ 1-4) ตามพระราชดำริรัชกาลที่ 5 กันค่ะ ในการนั้น มีพระองค์เจ้าประดิษฐวรการ อธิบดีกรมช่างสิบหมู่ และเป็นช่างฝีมือดีในสมัยนั้นเป็นผู้อำนวยการ 

.

แน่นอนว่าการสร้างพระบรมรูปของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ไม่มีปัญหาเลย เนื่องจากมีแบบพระบรมรูปเดิมที่เคยปั้นไว้อยู่แล้ว และอาจจะมีการอาศัยผู้ที่เคยเห็นพระองค์ให้บอกลักษณะ และคอยติให้ช่างแก้ไขได้ทันท่วงที 

.

พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 และพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ก็ไม่มีปัญหาอีกเช่นกัน ด้วยยังมีผู้เคยเห็นพระองค์มาคอยบอกลักษณะรูปโฉมอยู่มาก 

.

#แต่รู้ไหมคะ ว่าการสร้างพระบรมรูปของ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช #รัชกาลที่1 นั้นต้องประสบปัญหาใหญ่เชียวค่ะ เนื่องจากแทบจะไม่หลงเหลือผู้ที่เคยเห็นพระองค์ท่านเพื่อบอกพระลักษณะต่าง ๆ แก่ช่างได้ 

.

กระนั้นก็ยังนับว่าโชคดี...เพราะที่สุดแล้ว สามารถค้นหาบุคคลดังกล่าวได้มา 4 คน ได้แก่ พระองค์เจ้าหญิงปุก พระราชธิดาในรัชกาลที่ 2 สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆัง เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (บุญศรี) และ เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (ลมั่ง สนธิรัตน)

.

พระบรมรูปรัชกาลที่ 1 จึงถูกสร้างขึ้นจากการบอกกล่าวถึงพระลักษณะรูปโฉมที่เคยเห็น หรือจากภาพจำของทั้ง 4 คนนั่นเอง

.

ทั้งนี้ พระบรมรูปปั้นสำเร็จและหล่อได้ในเดือนเมษายน ปี พ.ศ. 2414 แล้วโปรดฯ ให้ประดิษฐานไว้ในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท และให้พระบรมรูปดังกล่าวเป็นแม่แบบของการปั้นพระบรมรูปและพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระมหากษัตริย์ทั้ง 4 พระองค์ตลอดไป

.

ฉะนั้น แน่ใจได้เลยค่ะว่า พระบรมรูปของพระมหากษัตริย์ทั้ง 4 พระองค์นี้ แม้จะมีการสร้างในภายหลังรัชกาล ก็มีผู้ที่เคยเห็นพระองค์จริงมาช่วยบอกช่างและติให้แก้ไขจนเหมือนพระองค์จริงที่สุด

.

.

ที่มา:

-เว็บไซต์ MGR Online

-หนังสือ ความทรงจำ-ดำรงราชานุภาพ

เบิกเนตร ความจริงโครงการพระราชดำริ


 โครงการพระราชดำรินำไปใช้ทำอะไรบ้าง?

=========================

โครงการในพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ ๙ มีอยู่กว่า ๔,๐๐๐ โครงการ พระองค์ทรงทราบดีว่า หน่วยงานราชการหลายแห่งในสมัยนั้นจะทำอะไรก็ล่าช้า และไม่ทราบความต้องการของประชาชน เพราะติดขัดที่ระเบียบและกระบวนการทางราชการ ด้วยเหตุนี้จึงทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ตั้งต้นทำโครงการพระราชดำริต่างๆ ไปก่อนที่หน่วยราชการจะเข้ามารับสนองพระราชดำริทำงานถวายแทบจะทั้งหมด

.

เมื่อพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เห็นว่าพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงงานโครงการพระราชดำริมากมาย ล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชน สมควรที่รัฐบาลและหน่วยราชการต่างๆ ควรรับสนองพระราชดำริเพื่อแบ่งเบาพระราชภาระ จึงเกิดการตั้งสำนักงาน กปร. ขึ้น กปร. คือ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ช่วยประสานงานหน่วยราชการเพื่อทำโครงการพระราชดำริต่างๆ ถวาย

.

งบประมาณแผ่นดินเพื่อโครงการพระราชดำริ จำนวน  ๔,๐๐๐ โครงการนั้น ก็ทำไปเพื่อประโยชน์ของประชาชน แต่พระราชดำริสำคัญในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙  คือ โครงการพระราชดำริใดสำเร็จแล้ว ให้กลับไปอยู่ในความดูแลบำรุงรักษา ของหน่วยราชการ ไม่ได้ทรงดูแลจัดการด้วยพระองค์เองหากทำได้สำเร็จแล้ว ไม่ได้ให้สำนักงาน กปร. เป็นคนดูแลด้วย

.

ยกตัวอย่างเช่น เขื่อนขุนด่านปราการชล เป็นโครงการพระราชดำริ เก็บน้ำจากเขาใหญ่ ปราจีนบุรี นครราชสีมา และนครนายก ป้องกันน้ำท่วมนครนายก ปราจีนบุรี ปทุมธานี และกรุงเทพ ทำให้เกิดการขยายพื้นที่ชลประทานเป็นประโยชน์กับประชาชนและประเทศชาติ โครงการสร้างเขื่อนนี้สำเร็จแล้ว เป็นประโยชน์มหาศาล แต่ต้องมีค่าดูแลบำรุงรักษา ซึ่งกรมชลประทานรับสนองพระราชดำริดูแลต่อ

.

ดังนั้น งบประมาณดูแลบำรุงรักษาเขื่อนขุนด่านปราการชล ไม่ใช่งบประมาณที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์อีกต่อไป และไม่เคยใช่ด้วย เพราะงบประมาณในการสร้างเขื่อนย่อมต้องเป็นกรมชลประทานขอมาสร้างสนองพระราชดำริ การดูแลรักษาก็เป็นของกรมชลประทาน ประเทศชาติได้ประโยชน์ ประชาชนได้ประโยชน์

.

ทั้งนี้ ในหลวง สำนักพระราชวัง และสำนักงาน กปร. ไม่ได้มีโอกาสอะไรที่จะใช้เงินเหล่านี้เพื่อตัวเองหรือเพื่อหน่วยงานของตนเองเลย แต่เงินงบประมาณแผ่นดินเหล่านี้ใช้ไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนเป็นสำคัญ

.

ขอบคุณข้อมูล :

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์

สาขาวิชา Business Analytics and Intelligence

สาขาวิชา วิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง

คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

ภาพ : ประดิษฐ์ มณีพันธ์ุ

บทความดีๆของชีวิต:โตขึ้นเธอจะรู้


 

#เก็บไว่อ่าน


🔴..มีลูก..สอนลูก..มีหลาน..สอนหลาน..ถ้าไม่มี..เอาไว้เป็นความรู้..ว่าจริงแค่ไหน..🔴


🔸โตขึ้นน้องจะรู้ว่า ยากยิ่งกว่าหาผัว..เมีย..ดีๆ คือ..หาทำเลค้าขายดีๆ🔸


🔹ยากยิ่งกว่าสอบเข้า มหาวิทยาลัยดีๆคือ..การมีอาชีพการงานดีๆ🔹


🔼โตขึ้นน้องจะอึ้งว่า

พ่อแม่เราเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงเรา..ขนาดเราเงินเดือน 3 หมื่นยังไม่พอจะให้พ่อแม่ได้เลย🔼


🔘โตขึ้นน้องจะเข้าใจ

ว่าโซดาขวดละ 100..ในผับที่น้องไป..แพงขนาดไหน🔘


🔶น้องจะเริ่มสงสัยว่าพ่อ

แม่..ทำไมเลี้ยงลูก 3-4 คน..ได้จนเรียนจบ..แต่ลูก 3-4 คน เรียนจบ มีงานทำหมด..แต่ไม่มีใคร..เลี้ยงดูพ่อแม่ไม่ได้สักคนเดียว🔶


🔷โตขึ้นน้องจะเข้าใจ

ว่าทำไม..พ่อแม่ต้องทำงานหนัก..วันหยุดไม่ได้พัก ค่ำมืดยังไม่ได้กินข้าว..น้องจะรู้ว่าเขาทำ..เพื่อใคร🔷


💠วันหนึ่งน้องจะคิดได้

ว่า..ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย

เป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขที่สุดแล้ว..เพราะมีคนหาเงินให้ใช้..เรียนไปเที่ยวไปไม่ต้องคิดอะไร💠


🔹วันหนึ่งน้องจะรู้ว่า..คุณค่าของชีวิต..ไม่ได้วัดกันที่โทรศัพท์เครื่องใหม่

หรือกระเป๋าแบรนด์เนม

แต่มันวัดกันที่..#ความรับผิดชอบ..และ #สามัญสำนึก🔹


🔘วันหนึ่งน้องจะรู้ว่า คนที่ร่ำรวยที่แท้จริง คือ #คนที่เลี้ยงดูพ่อแม่ได้..ไม่ใช่คนที่สามารถจ่ายค่าเหล้า..ขวดละ 5 พัน.โดยไม่เสียดาย🔘


♨วันที่พ่อแม่ตาย...

วันนั้นแหละ คือวันที่โลกนี้

ไม่มีใครรักน้องจริง..หลงเหลืออยู่อีกแล้ว!!♨


📛เมื่อก่อนร้องเรียกหาแต่ #ผัว..เมีย.ในโซเชี่ยล

วันหนึ่งน้องจะเรียกร้องหาแต่พ่อแม่..ที่ไม่มีวัน..หวนกลับคืนมาได้📛


✔พ่อ..แม่..ขายแกงได้วันละไม่ถึงพัน..เลี้ยงลูกจนเรียนจบมีงานทำมาได้..ลูกเงินเดือน 2-3 หมื่น..กลับเลี้ยงดูพ่อ..แม่ไม่ได้✔


🔴วันนี้บทความนี้..น้องอ่านแล้วอาจจะไม่เข้าใจ..สักวัน..ที่คิดได้ จะเข้าใจมันดี🔴


⭕#คนเก่งคือคนที่เลี้ยงดูพ่อแม่ได้⭕


Cr.สิริทัศน์ สมเสงี่ยม

#มุมอ่อนแอ🖤

.........

@ยิ้ม เพจสาระบทความ 🤟🇹🇭

เบิกเนตร เผยความจริง งบสถาบันกษัตริย์ 2563

 

งบประมาณรายจ่ายปี 2565 กำลังเป็นประเด็นร้อนอยู่ ณ ขณะนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจัดสรรงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ 33,712 ล้านบาท ซึ่งมีการจัดแบ่งเป็น 5 ประเภท 

.

#1 งบพิทักษ์รักษาและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ 629 ล้านบาท เช่น โครงการรวมใจเทิดไท้สถาบันพระมหากษัตริย์ ของกรมศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม

#2 งบถวายความปลอดภัย 6,938 ล้านบาท เช่น ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่ง ภายใต้ผลผลิตการถวายความปลอดภัยด้านการบิน

#3 งบส่วนราชการในพระองค์ 8,761 ล้านบาท

#4 งบโครงการตามพระราชดำริและพระปณิธาน เป็นงบที่เกี่ยวกับโครงการหลวงต่าง ๆ 15,203 ล้านบาท

#5 งบอื่นๆ เช่น งบพระราชทานเพลิงศพ งบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ 2,179 ล้านบาท

.

ซึ่ง 1 ใน 5 ประเภทนี้ ในส่วนของงบโครงการตามพระราชดำริและพระปณิธาน ที่เป็นประเด็นร้อนจากในสภาโดย ส.ส.ท่านหนึ่ง จนออกมาสู่สังคมโซเชียล ได้กล่าวถึงเรื่องโครงการตามพระราชดำริต่าง ๆ นั้น

.

ได้มีนักวิชาการชื่อดัง ผศ.ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ออกมาให้ข้อมูลผ่านทางเว็บไซต์ Manager Online ในเรื่องของงบประมาณโครงการพระราชดำริ 4,000 โครงการ ว่า “ไม่ใช่งบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์” อันมีใจความดังนี้

.

“...ในช่วงต้นรัชกาล (รัชกาลที่ 9) ไม่ทรงมีพระราชอำนาจใด ๆ เลย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ไม่สนับสนุน และเป็นปฏิปักษ์กับสถาบันอย่างชัดเจน แต่ก็ทรงงานโครงการพระราชดำริต่าง ๆ ไปด้วยพระองค์เองตามลำพัง จนกระทั่ง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี จึงเริ่มมีการสนองพระราชดำริในการทรงงานโครงการต่าง ๆ

.

เมื่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เห็นว่าการปล่อยให้พระเจ้าอยู่หัว ร.9 ทรงงานโครงการพระราชดำริมากมาย ล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชน สมควรที่รัฐบาลและหน่วยราชการต่าง ๆ ควรรับสนองพระราชดำริเพื่อแบ่งเบาพระราชภาระ จึงเกิดการตั้งสำนักงาน กปร. ขึ้น

.

กปร. คือ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ช่วยประสานงานหน่วยราชการเพื่อทำโครงการพระราชดำริต่าง ๆ ถวาย

.

งบประมาณแผ่นดินเพื่อโครงการพระราชดำริ จำนวนกว่า 4,000 โครงการนั้น ก็ทำไปเพื่อประโยชน์ของประชาชน และมีหน่วยราชการทำงานนั้น ๆ ถวายเป็นเจ้าภาพ 

.

แต่พระราชดำริสำคัญในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลคือ โครงการพระราชดำริใดสำเร็จแล้ว ให้กลับไปอยู่ในความดูแลบำรุงรักษาของหน่วยราชการ ไม่ได้ทรงดูแลจัดการด้วยพระองค์เอง หากทำได้สำเร็จแล้ว ไม่ได้ให้สำนักงาน กปร. เป็นคนดูแลด้วย 

.

เช่น เขื่อนขุนด่านปราการชล เป็นโครงการพระราชดำริ เก็บน้ำจากเขาใหญ่ ปราจีนบุรี นครราชสีมา และนครนายก ป้องกันน้ำท่วมนครนายก ปราจีนบุรี ปทุมธานี และกรุงเทพฯ โครงการสร้างเขื่อนนี้สำเร็จแล้ว เป็นประโยชน์มหาศาล แต่ต้องมีค่าดูแลบำรุงรักษา ซึ่งกรมชลประทานเป็นเจ้าภาพรับสนองพระราชดำริดูแลต่อ

.

งบประมาณดูแลบำรุงรักษาเขื่อนขุนด่านปราการชล สมมติว่าปีละ 50 ล้านบาท ไม่ใช่งบประมาณที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์อีกต่อไป เพราะงบประมาณในการสร้างเขื่อนย่อมต้องเป็นกรมชลประทานขอมาสร้างสนองพระราชดำริ การดูแลรักษาก็เป็นของกรมชลประทาน ประเทศชาติได้ประโยชน์ ประชาชนได้ประโยชน์

.

ในหลวง สำนักพระราชวัง สำนักงาน กปร. ไม่ได้มีโอกาสอะไรที่จะใช้เงินเหล่านี้เพื่อตัวเองหรือเพื่อหน่วยงานของตนเองเลย แต่เงินงบประมาณแผ่นดินเหล่านี้ใช้ไปเพื่อประโยชน์ของประชาชน

.

หากไม่มีงบประมาณในการบำรุงดูแลรักษาต่อยอดโครงการพระราชดำริเหล่านี้ ใครจะเดือดร้อน คำตอบคือ ประเทศชาติและประชาชน เขื่อนที่ไม่มีหน่วยงานดูแลจะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เกิดหายนภัย อุทกภัย ภัยแล้ง และปัญหาอื่น ๆ ได้อีกมากมาย และผมก็เชื่อว่าโครงการพระราชดำริที่ทำสำเร็จแล้ว แต่ต้องบำรุงดูแลรักษาก็มีมากถึง 4,000 โครงการ

.

การใส่ร้ายป้ายสีสถาบัน ด้วยการรวมงบจากหลายร้อยหลายพันหน่วยงานที่เป็นโครงการพระราชดำริ มาเป็นงบประมาณที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงเป็นการกระทำที่ไม่น่าจะประสงค์ดีใด ๆ ต่อสถาบัน แต่ต้องการใส่ร้ายว่าสถาบันใช้เงินงบประมาณแผ่นดินจากภาษีกู ทำงานของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่เป็นงานของหน่วยราชการต่าง ๆ และเป็นงานที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน จึงเป็นเรื่องของคนที่ไม่หวังดีต่อสถาบัน และไม่หวังดีต่อชาติบ้านเมือง...”

.

.

ที่มา: MGR Online

วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2564

บทความดีๆของชีวิต:ของฝากจากพ่อ

 

ของฝากจากพ่อ..

....

"เ มื่ อ เ ร า โ ต ขึ้ น"


"พ่อครับ ทำไม พ่อไม่ค่อยมีเพื่อนเลย

พอเราโตขึ้น คนที่รักเราจะน้อยลงเหรอครับ" ....

ลูกถาม

"ไม่หรอกครับ.!! เมื่อเราโตขึ้น

เราจะเหลือคนที่รักเราจริงๆ ต่างหาก

เราจะมากที่คุณภาพ ไม่ได้มากที่จำนวน

เวลาจะคัดสรรคนที่เหมาะสมและมีคุณภาพไว้กับเรา

ถ้าเป็นมิตรที่เหลือ

ก็จะเป็นมิตรที่มีคุณภาพและรักเรา

ถ้าเป็นศัตรูที่เหลือ

ก็จะเป็นศัตรูที่จะเป็นแรงผลักดัน

ให้เราต่อสู้เพื่อที่จะก้าวหน้าต่อไป"

พ่อตอบ...พลางเดินนำต่อไป

"แล้วถ้าวันหนึ่ง ผมโตพอที่จะเลือกทางเดินเองได้

พ่อจะไม่ทิ้งผม...ไปไหนใช่ไหม⁉️ "

ลูกถามต่อ

"เมื่อวันหนึ่งลูกเลือกทางเดินได้เอง

พ่อก็ยังจะคอยอยู่ข้างๆ ลูกเหมือนเดิม

แต่เมื่อลูกโตขึ้น

ลูกก็ต้องหาใครสักคนมาเดินข้างกาย

พ่อก็จะถอยมาวิ่งข้างหลัง แต่ยังคงเฝ้ามองลูก

จนวันหนึ่งที่พ่อวิ่งไม่ไหว

พ่อก็จะหยุด แล้วมองลูกต่อไป

หรือจนวันหนึ่งที่พ่อต้องจากไป

พ่อก็ยังจะวิ่งอยู่ในใจของลูกตลอดกาลนะ...

ชีวิต คือ การก้าวเดินไปข้างหน้า

แต่ลูกจงจำไว้ว่า  การก้าวไปจะมีคุณค่า

เราจะต้องไม่ลืมคนข้างหน้า

ข้างๆ หรือแม้แต่ข้างหลัง เพราะนั่นคือ

พลังทั้งหมดที่คอยผลักดันลูกให้ก้าวไป

พร้อมกับพลังของตัวลูกเองนะ

น้ำทะเลอาจทำให้รอยเท้าของเราจางหายไป

แต่น้ำทะเลไม่อาจทำให้เราลืม

ว่าเรามาจากไหนและมากับใครหรอกนะ"

พ่อตอบ...และยิ้มให้ลูกชาย

ลูกชายไม่ตอบอะไร ได้แต่เดินช้าลง

พ่อสงสัยจึงถามว่า...

"ทำไมเดินช้าจัง"

ลูกชายส่งยิ้มหวาน ก่อนตอบกลับมาว่า...

"ก็ผมอยากมีเวลาเดินกับพ่อนาน ๆ ไง.."

................


@ยิ้ม เพจสาระบทความ 🤟🇹🇭

สายฝน แห่งชีวิต ปล่อยความทุกข์ กังวลไหลไปตาม สายน้ำ ไม่ยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวาง





ใบไม้ร่วงโรย ชีวิตล่วงเลย แต่ใจไม่ร่วงหล่น