จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

คำถาม กวนจิต ของริว จิตสัมผัส

คุณริว จิตสัมผัส


คำถามกวนจิต ริว จิตสัมผัส
     เคยได้ยินบ่อยครั้งถึงคำพูดที่ว่า กรรมเกิดจากการกระทำพอมีชื่อเสียงดูเหมือนว่าการกระทำอันเกิดจากการเข้าไปนั่งเป็นหนึ่งในพิธีกรรับเชิญของรายการ คนอวดผี ได้ทำให้ริว จิตสัมผัส หรือชื่อจริงตามบัตรประชาชนว่า นายปาณรวัฐ ลิ่มรัตนอาภรณ์ ถูกจับจ้องเป็นพิเศษในฐานะคนสื่อวิญญาณ จนเกิดกระแสวิพากษ์ในวงกว้างว่า จริงหรือ แหกตาโดยเฉพาะโลกอินเทอร์เน็ตที่ตั้งกระทู้จับผิดกันยาวเหยียด

     ครั้งแรกที่ได้พบกับชายหนุ่มวัยสามสิบกว่าๆ คนนี้คือตอนที่ไปสัมภาษณ์กฤษณ์ ศรีภูมิเศรษฐ์ (ในคอลัมน์นี้เช่นกัน) ระหว่างรออยู่ในห้องแต่งตัว ความตกอกตกใจของคนในห้องเกิดขึ้น เมื่ออยู่ๆ ผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้รับเชิญมาเล่าเรื่อง วิญญาณรักข้ามภพเกิดอาการ ผีเข้าทั้งที่ยังไม่มีการถ่ายทำรายการ ริวได้เข้ามาพูดคุยกับผีคนรักเก่าในร่างหญิงสาวถึงเหตุที่ต้องตามเธอมาจนถึงชาติปัจจุบัน บรรยากาศที่หลอนจนขนลุกได้จุดประกายความอยากรู้อยากเห็นในตัวเขาแก่เรา จนนำมาซึ่งการสัมภาษณ์ที่ต้องขึ้นคำเตือนว่า โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

     “พื้นเพเดิมของริวอยู่สุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส ตอนเด็กทางบ้านชอบไปช่วยงานศาลเจ้า โดยเฉพาะน้าๆ บางคนไปแบกเกี้ยวแห่เจ้า ริวก็ไปบ่อยเพราะในอำเภอมีแค่ศาลเจ้าแม่โต๊ะโมะที่เดียวที่ไปเที่ยวได้ ก็ไปดูเขาเล่นสิงโต เชิดมังกร แต่ทุกครั้งที่ไปจะมีเรื่องแปลกคือเวลามีการประทับทรง เคาะกลอง ริวจะมีอาการตัวเย็นและหายใจไม่ออก แต่พอก้าวออกจากประตูก็หาย กลับเข้าไปก็จะเป็นอีก จนสงสัยว่าเป็นอะไร พอเล่าให้อาก๋งฟัง แกบอกไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะตั้งแต่เด็กเวลาอุ้มริวไปที่นั่นก็จะมีอาการแบบนี้ทุกครั้ง เขาคิดว่าริวคงกลัวเสียงกลอง แต่น่าแปลกว่าทำไมถึงกลัวจนตัวเย็น

     “ตอน ป.3 มีคนมาเข้าฝันริวแล้วแจ้งพระนามว่าเป็นท่านกวนอู ท่านบอกว่า นับจากนี้ไป เรากับเธอมีภารกิจที่ต้องทำภาพที่เห็นเป็นแค่พลังงาน ไม่ได้เห็นตัวตน ด้วยความเป็นเด็กก็ไม่ได้สนใจ แต่หลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มมีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้น เช่น มองเห็นคนว่าจะตาย โดยมีตัวอักษรปรากฏอยู่บนใบหน้าเขา ผ่านไปจนถึง ป.6 อยู่ๆ ก็กินเนื้อสัตว์ไม่ได้ มองอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์แล้วเห็นแต่เลือด เป็นอยู่ 3 วัน เลยหันมากินเจ เริ่มจากกินแต่ข้าวกับผลไม้อยู่ 1 เดือน แล้วพัฒนามากินเจจนถึงทุกวันนี้

     “หลังจากวันนั้นตกกลางคืนเป็นเวลา 3 เดือนติดที่ท่านกวนอูพาไปเรียนรู้ก่อนมาทำภารกิจ พอนอนหลับท่านก็จะมาเรียก ริวเห็นภาพตัวเองเดินออกจากร่าง เห็นหมดว่าคนในบ้านทำอะไรอยู่ ท่านพาไปเรียนรู้ชีวิตคน เดือนแรกไปเรียนรู้ชีวิตคนว่าทำไมเกิดมาถึงทุกข์และมีกรรม เปรียบเทียบให้ดูว่าทำไมคนที่นอนป่วยอยู่ตามข้างถนนแต่ไม่ตาย ทำไมขอทานที่เก็บข้าวตามถังขยะกินถึงไม่ป่วยเป็นโรค แต่บางคนร่ำรวยกินอาหารสดใหม่ แต่ป่วยเอาๆ

     “ต่อมาท่านพาไปเรียนรู้สิ่งที่คนมองไม่เห็น พาไปยมโลก ให้รู้ว่าสถานที่แห่งกฎแห่งกรรมมีจริง ริวถามท่านว่า คนที่ไม่เห็นจะเชื่อได้อย่างไรว่ากฎแห่งกรรมมีจริง ท่านถามริวกลับว่า บนโลกคนที่ทำชั่วมีไหม คุกของคนมีจริงไหม ในเมื่อคุกบนโลกมี ทำไมในนรกถึงมีไม่ได้ บนโลกมีกฎอย่างไรในนรกก็มีกฎอย่างนั้น ต่างกันแค่ความยุติธรรม โลกของคนมีความลำเอียง แต่ข้างล่างมีความยุติธรรม สังเกตสิว่าทุกอริยเจ้าสอนให้คนทำความดี ไม่เคยสอนให้คนแบ่งแยกศาสนา มีแต่คนเท่านั้นที่แบ่งแยกกันเอง ในนรกภูมิ ไม่ว่าคนชาติไหน พอตายไปก็ลงมาใช้กรรมที่เดียวกัน ไม่มีการแบ่งแยก ท่านบอกว่าสิ่งที่แบ่งแยกภาพนรกคือการจดจำ คนไทยจดจำภาพยมบาลว่านุ่งโจงกระเบนขณะที่ฝรั่งมองอีกอย่าง ทุกอย่างขึ้นกับมโนภาพตอนเป็นมนุษย์

ภาพของนรกที่เห็นเป็นอย่างไร
     ภาพของนรกที่แต่ละคนเห็นจะเป็นภาพตามแรงกรรม อย่างคนที่ทำกรรมทางปาก พูดจาให้ร้ายคน ภาพที่ริวเห็นคือตายไปเขาจะถูกทรมานด้วยเครื่องมือทรมานต่างๆ เช่น เครื่องตัดลิ้น ดึงลิ้นออกมาจากปาก ท่านพาริวไปดูคนประพฤติผิดในกาม พาไปดูพระและนักบวชในแต่ละศาสนาที่บวชแล้วเอาศาสนามาแปดเปื้อนเรื่องโลกีย์ ซึ่งถือว่าไม่ให้เกียรติ มีอยู่ขุมหนึ่งซึ่งเป็นที่สำหรับคนประพฤติผิดในกาม ริวเห็นเสาไม้สามต้น คนที่ทำผิดถูกจับให้นั่งพื้น เหยียดขาตรง ผูกแขนเหมือนคนจะคลอดลูกสมัยโบราณ ไม่สวมเสื้อผ้า พอถึงเวลาลงโทษ แรงกรรมที่เขาทำจะกลายเป็นสัตว์แล้วพุ่งไปที่อวัยวะเพศ สัตว์เหล่านั้นจะเข้าไปกัดอวัยวะเพศจนคนนั้นๆ ขาดใจตาย พอตายไปจะมีลมแห่งกรรมพัดให้ฟื้น แล้ววิญญาณสัตว์เหล่านั้นก็จะกลับมาอีก แล้วกัดจนกว่าคนคนนั้นจะชดใช้กรรมหมด เขาจะถูกทำโทษแบบนี้วันละ 500 ครั้ง จนกว่าจะหมดกรรม
     ริวถามท่านกวนอูว่า เราจะรู้ได้ยังไงว่าดวงวิญญาณเหล่านั้นชดใช้กรรมหมดแล้ว ท่านบอกว่า ลองสังเกตดูสิ พระอริยเจ้าไม่ว่าศาสนาไหนจะมีรังสีสีทองอยู่ด้านหลัง เช่นกัน คนชั่วจะมีไอดำอยู่บนหัว สำนึกได้เมื่อไร ไอดำจะจางเป็นสีขาว แปลว่าได้ชดใช้กรรมไปหมดแล้ว

ยืนยันว่าผีมีจริง
     ริวไม่ยืนยันว่าผีมีจริง แต่ถามว่าถ้าไม่เชื่อว่าวิญญาณมีจริง มนุษย์เชื่อว่าเราเกิดมาด้วยอายุขัย แล้วคนไม่ตายที่อายุ 80 เหมือนกันหมด บางคนไม่ป่วย แต่ทำไมนอนตายไปเฉยๆ

ในทางการแพทย์คงบอกว่าไหลตาย
     งั้นถามแพทย์ว่าอะไรที่ไหลออกไปล่ะ ก็แปลว่ามนุษย์ทุกคนมีพลังงาน เหมือนที่โทรทัศน์มีพลังงาน โทรศัพท์มีพลังงาน พลังงานเหล่านั้นมาจากไหน ถ้าเราไม่เสียบปลั๊กไฟติดไหม แต่ถามว่าเรามองเห็นไฟฟ้าได้ไหม ก็ไม่เห็น แต่เมื่อไหร่มันมาปะทะกับสิ่งเหล่านั้น ก็จะติดเป็นดวงไฟเป็นอะไรได้ เราเรียกว่า พลังงาน แต่ทางพระเรียกว่าวิญญาณ ถามว่าผีกับวิญญาณเหมือนกันไหม ไม่เหมือนวิญญาณทำให้เราได้มาเกิดในกายสังขาร แต่ผีคือหลังจากเราเกิดเป็นคนแล้วเราทำชั่ว ตายไปก็กลายเป็นผี

ผีมีหน้าตาไหม
     ไม่มีครับ จะมีหน้าตาก็ต่อเมื่อไปปฏิสนธิในครรภ์มารดาแล้ว ถึงมีกาย มีเนื้อ มีหนัง มีกระดูก ผีเป็นแค่พลังงาน ลักษณะเหมือนลูกไฟกลมๆ เป็นสสารชนิดหนึ่งในโลก

แต่มีความแค้น มีความทรงจำใช่ไหม ดูจากผีที่มาเข้าคนในรายการ คนอวดผี
     มันอยู่ที่การจดจำ คนที่ตายไปแล้วเป็นผี แสดงว่าประสบการณ์ที่เจอตอนมีชีวิตเลวร้ายมาก เช่น ถูกฆ่าตายแล้วเขาจดจำภาพของคนฆ่า ด้วยความแค้นพลังงานเหล่านี้จึงมีแรงกรรมอยู่ ต่อให้ไม่เป็นผี แต่เกิดใหม่ เขาก็ยังจะระลึกชาติได้ในช่วงเวลาหนึ่ง

หลายคนพูดว่า ในเมื่อเขาไม่เห็นเหมือนที่คุณเห็น คุณก็พูดอะไรก็ได้สิ
     ริวพูดอะไรก็ได้จริง แต่คุณต้องเช็กด้วยไหมว่าสิ่งที่ริวพูดมีเหตุผลหรือเปล่า ไม่ว่าคุณจะเห็นหรือไม่ แต่ทุกอย่างที่ริวพูดมีเหตุผล ถ้าริวพาคุณไปทางที่ผิด สมองของคุณก็มี คิดรู้เอาเองว่าจะเชื่อไหม จะทำหรือไม่ทำเป็นเรื่องของคุณ ไม่ใช่มัวแต่เอาปากมานั่งโจมตีคนอื่น อย่างนี้คนดีที่ไหนจะกล้าออกมาพูด ถ้าคิดว่าคุณมีความรอบรู้กว่าที่ริวทำ ทำไมไม่ทำอะไรบ้าง มานั่งด่าทำไม ทำไมไม่ทำให้สังคมสูงขึ้น มัวแต่ด่าคนทำดี ก็เท่ากับว่าคุณผิด เพราะคุณทำร้ายให้คนดีเลือนหายไปจากสังคม

เหมือนจะเจอมาเยอะ
     เยอะครับ เจอมาตลอด จนพูดกับนักข่าวว่า เชื่อไหม สังคมสมัยนี้ เป็นคนดีแต่ไม่มีที่อยู่เรื่องด่าชาวบ้าน ทำร้ายชาวบ้าน คุณตะโกนสามวันไม่จบ แต่คนที่ทำดี สละชีวิต ช่วยเหลือคน พูดไม่ถึงชั่วโมงคุณก็ลืมแล้ว แล้วคุณยังบอกด้วยว่า อ๋อ คนนี้ทำเอาหน้าคนทั้งหลายที่ได้อ่านข้อความนี้ ในเมื่อคุณคิดว่าคุณเป็นคนดี ทำไมไม่เอาตัวคุณขึ้นมาเพื่อทำให้สังคมมันสูงขึ้น แทนที่จะมัวแต่วิพากษ์วิจารณ์ว่าอะไรถูกผิดเท่านั้น นี่แหละที่ทำให้ริวรู้สึกเสียใจ

หรือเขาจะไม่ได้ลบหลู่ เพียงแต่มองว่าสิ่งที่พูดยังไม่ชัดเจนจนเกินจะเชื่อว่ามีอยู่จริง
     ตรรกะของมนุษย์นั้นต่างกัน ริวเห็น จำเป็นด้วยหรือว่าคุณต้องเห็น ถ้าริวบอกว่าบ้านริวเป็นแบบนี้ แต่คุณไม่เคยมาบ้านริว ถามว่าคุณจะรู้ไหมว่าบ้านริวเป็นยังไง

อาจจะเชื่อถ้าสามารถทำให้เห็นอย่างชัดเจน
     คนสมัยนี้ บางทีเห็นยังบอกว่าไม่เห็นเลย แล้วทำไมริวต้องไปพิสูจน์ตามที่เขาอยากเห็นด้วยล่ะ

พูดอย่างนี้คนที่ฟังก็จะบอกว่าแก้ตัว เพื่อเป็นการพิสูจน์ นัดแถลงข่าวแล้วเรียกผีมาโชว์เลยได้ไหม
     ถ้ามาให้เห็นแล้ว คุณก็ถามอีกว่าใช้เทคนิคหรือเปล่า คำว่าเห็น คุณใช้อะไรเป็นบรรทัดฐานแทนที่จะเชื่อว่าวิญญาณมีหรือไม่มี ทำไมคุณไม่เชื่อในสิ่งที่เป็นเหตุผล มัวมาเถียงเรื่องนี้ทำไม ถามว่ามันทำให้ชีวิตคุณสูงขึ้นไหม

++ ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ในเล่ม ++
หาอ่านดูน่ะครับ  มีหลายอย่างที่เราจะต้องรู้ จากสิ่งที่ดีๆจากเขาคนนี้  อะไรที่เราฟัง แล้วอ่านแล้ว ถ้าพินิจพิจารณาว่าเป็นเรื่องที่ดี นำมาคิด ปฏิบัติ แล้วทำให้ชีวิตเราเดินทางถูกต้อง ห่างไกลจากอบายแล้วสิ่งนั้นเราควรน้อมเข้ามาใส่ใจ น่ะครับ  ผมเป็นแฟนติดตามคุณริว เขาพูดแทรกหลักธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรงตรัสสอนไว้ เรื่องกรรม และอีกหลายสิ่งที่ มีเหตุ มีผล น่าชวนคิด นี้แหละที่ชอบเขาก็ตรงนี้ สิ่งที่ คุณริวตอบคำถาม แต่ล่ะครั้ง หวังว่าทุกคน คงใช้สติ ปัญญา ที่ตนมีอยู่คิดเอาเองน่ะ  และ ช่วยเริ่มศึกษา พระพุทธศาสนา กันได้แล้ว มันมีอะไรมากกว่าที่คุณริวพูด เพราะคุณริวก็เสมือนเป็นตัวแทนของศาสนาด้วย คือจะทำให้เรา ละชั่ว สร้างบุญกุศล อย่างไม่ประมาท  ขออนุโมทนา ธรรมทาน ที่คุณริวสอน และช่วยผู้คนให้ตาสว่าง พวกเราอนุโมทนาด้วยแล้วกัน. 
                                                                                                    โดย ชัยวัฒน์

วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554

มองแง่ดี คลายทุึกข์ เข้าใจธรรม ในสถานการณ์น้ำท่วม

 เพลง กำลังใจ 
มองแง่ดี  ในสถานการณ์น้ำท่วม มองให้ลึก คิดให้ไกล มองเห็นความจริง

        1.เห็นคนไทยสามัคคีกัน ช่วยเหลือ ในด้านกรุณา แบ่งเบาความทุกข์
  เห็นคนไทยในต่างจังหวัดและทั้งผู้เดือดร้อน และไม่เดือดร้อน มีความเมตตา  แม้บางคนไม่ได้ช่วยด้วยเงิน แต่ให้กำลังใจ ส่งจิตใจ ที่เห็นใจต่อกัน
   2.หน่วยงานต่างๆได้มาร่วมมือ ร่วมใจ กันทำงาน อย่างไม่มีอคติ แบ่งพรรคแบ่งพวก และทำกันอย่างเต็มกำลัง แม้ตัวเจ้าหน้าที่เอง จะประสบภัย เดือดร้อน เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ(อยากให้เป็นอย่างนี้ ในทุกกรณี ในเหตุการณ์ต่างๆ เป็นภาพที่เราไม่ได้เห็นนานแล้ว)
  
3.เห็นความเสียสละ ของคนไทยหลายๆกลุ่ม หลายบทบาท ทั้ง นักเรียน นักศึกษา ดารา ศิลปิน และคนไทยที่มีจิตอาสา ยอมสละเวลา ลดความเห็นแก่ตัว เพิ่ม จิตใจที่ประเสริฐ มากขึ้น ช่วยแรง ช่วยทรัพย์ ช่วยน้ำใจ หลายอย่างๆ

4.ได้เรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาล่วงหน้า และเฉพาะหน้า เรียนรู้ใช้การมีประสิทธิภาพของตนเอง ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร ให้อยู่ได้ในเหตุการณ์ที่ไม่แน่นอน  ความสามารถคุณ สติปัญญา ความรู้ ความฉลาด ได้เอาออกมาใช้บ้าง

5.ได้ร่วมกันตระหนักถึงอนาคตล่วงหน้าหลังจากเหตุการณ์นี้ผ่านไป ว่าควรจะแก้ปัญหาระยะยาวอย่างไร ที่ไม่ให้เหตุการณ์เหล่านี้ซ้ำรอยอีก

6.ได้หวลคิดถึงทรัพยากรป่าไม้ อากาศ ดิน น้ำ ที่ครั้งก่อน เคยมีอย่างสมบูรณ์ สมดุลกับระบบธรรมชาติฤดูกาล ก่อนที่จะไม่ถูกทำลาย ด้วยฝีมือมนุษย์ และสิ่งเทคโนโลยีสมัยใหม่ (มีคนคิดบ้างล่ะ ว่าภัยธรรมชาติเกิกจาก ต้นเหตุอะไร) และตระหนักเห็นความสำคัญในการฟื้นฟูธรรมชาติให้กลับมา

7.ได้เรียนรู้เวทนา จากความทุกข์ที่ประสบ เศร้าโศก ห่วง ยึด เครียด สับสน  ล่องลอย  บางคนก็มีโกรธ เกลียด แค้น พูดง่ายว่า มีอารมณ์ ที่ทำให้ใจ ทนสภาพไม่ได้  จะเห็นมองลึกว่า ความยึดมั่น ถือมั่น ที่มีมากมาย ถึงคราวมันหายไป มันทำให้เราทุกข์กับมันขนาดไหน ยึดมากมีมาก ทุกข์มาก   ยึดน้อย มีน้อย ทุกข์น้อย เห็นความทุกข์ว่านี้มันเกิดจากสาเหตุใด
8.ทำให้คนไทยได้เห็นความสำคัญ ของ คนไทยด้วยกัน ในการช่วยเหลือ แม้แต่ผู้สูงอายุ แม้คนพิการ จนกระทั้ง พวกสัตว์เลี้ยง เขาก็มองว่า มีชีวิต จิตใจ ที่ต้องช่วย เช่นกัน คนไทยไม่ทิ้งกัน
9.ได้มองเห็น กิเลศ ความเห็นแก่ตัวของคน ที่คอยซ้ำเติม ผู้เดือดนร้อน เช่น พวกโจร  พวกแย่งอาหาร พวกฉวยโอกาสกอบโกยสิ่งของเพื่อตัวเอง  พวกด่าทอ ด้วยความเกลี้ยวกลาดในการแย่งอาหาร เราจะได้เห็นว่า เราจะไม่ทำอย่างนั้น และกลัว กิเลศ     สิ่งแบบนั้น จะได้ห่างไกล ไม่กระทำการเห็นแก่ตัว ในการเบียดเบียนคนอื่นๆให้เดือดร้อน ใจเขา ใจเรา เขาเกลียดการเอาเปรียบจากคนอื่น  เช่นเดียวกับเรา ที่ไม่ชอบให้ใครเอาเปรียบ ในยามกรณีใดๆ
10.ได้มองเห็นสัจธรรมความจริงว่า สิ่งใดๆที่เรามีอยู่  และสร้างขึ้นมา นั้น ซักวันหนึ่ง หรือ วันนี้ วันนั้น ที่ผ่านมา มันไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป เปลี่ยนแปลง ไม่ใช้ของเรา ได้ เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และ จะได้ตอบต่อไปได้ ว่า สิ่งทั้งหลายที่ฉันมีอยู่สักวันหนึ่ง มันจะไม่ใช่ของเรา มันต้องหาย ต้องจาก กับเราไม่วันใดก็วันหนึ่ง เผื่อใจไว้ข้างหน้าในทุกสิ่ง เมื่อประสบกับความจริงในเหตุการณ์ที่มาถึงจะทำใจได้ ไม่ทุกข์ ไม่รำพึง เสียใจ คร่ำครวญกับมันมาก เกินไป จะได้สะสมสิ่งที่ถูกต้อง คือ บุญกุศล สิ่งนี้มันจะอยู่กับเรา ดั่งเงาตามตัว สู้ภพชาติหน้า ด้วย
11.เราจะได้มองเห็นว่า เราทุกคนที่เป็นคนไทย สมควรจะรักกันให้มากๆ แม้ความคิดเห็นที่แตกต่างกันเป็นธรรมดา แต่เราจะไม่ทะเลาะและใช้กำลังและคำ ด่าทอกัน ลองคิดดูเมื่อพวกเราที่ใดประสบภัย คนไทยในที่ต่างๆ ที่ทั้งไม่รู้จักเราด้วยซ้ำ เขายังมีใจช่วย สิ่งของบริจาค ไปมากมาย ทั้งเป็นเงินบริจาค สิ่งของเครื่องใช้ กระทั้งความรู้สึกกำลังใจที่ไปด้วยกระแสเมตตา ใต้น้ำท่วม ชาวเหนือ และภาคอื่นช่วย  ภาคอื่นประสบ พวกเรา ภาคนี้ก็ช่วย สิ่งเหล่านั้น พวกเราอาจไม่รู้ แต่เชื่อว่า ถ้าคนไทยมีเหตุการณ์ดังนี้แล้ว เราช่วยกัน เราหันมารักกันไม่เสียดีกว่าเหรอ ประเทศอื่นๆมันจะได้เกรงกลัว ความสามัคคีของคนไทยบ้าง มากกว่าที่เป็นอยู่   (สิ่งที่คิดนี้อาจเป็นได้ยาก แต่มีคนหลายกลุ่ม ที่เขาคิดแล้วกระทำ ดั่งคนที่เขาช่วยเหลือกัน ดั่งปัจจุบัน)
12.เราหนีสิ่งที่เผชิญไม่ได้ มันเกิดขึ้นแล้ว ทุกสิ่งเสียหายไปแล้ว เราสูญเสียไปแล้ว สิ่งสำคัญ คือ ชีวิตเรายังอยู่ ชีวิตคนที่เรารักยังอยู่ ให้เรายอมรับความจริง และสู้ต่อไป เพราะสิ่งที่เรารักที่สุด มันคือชีวิตเราไม่ใช้หรือ และเราจะไปนอนทุกข์ เสียดาย ให้กับสิ่งภายนอกนั้นทำไมกัน เพราะ สิ่งๆนั้น มันเป็นแค่ส่วนประกอบที่ทำให้เรามาตอบสนองพื้นฐานความรักชีวิตของเรา ด้วยไม่ใช้หรือ แสดงว่าชีวิตเรานี้สำคัญที่สุด   (พูดถึงทรัพย์ สิน ที่เป็นของนอกกาย ที่คนยอมตาย ไปกับมัน)

13.ได้เรียนรู้ว่า  อาหารที่มีตอนนี้ เรากินเพื่อประทังชีวิต ให้อยู่รอด ไม่ใช้เมื่อก่อนครั้งสบาย ที่เราอยู่เพื่อกิน สนองการกินอย่างไม่สิ้นสุด ได้เห็นคุณค่าแท้ของอาหารสักที   ได้เรียนรู้ว่า เสื้อผ้าที่เรานุ่งห่ม ตอนนี้ เป็นสิ่ง ป้องกันความหนาว เหลือบ ยุง ปกปิดร่างกาย ได้เห็นคุณค่าแท้ของเครื่องนุ่งห่ม   ก่อนครั้งที่เราสบาย เราแสวงหาหลงกับการแต่งตัวมากมาย ไม่สิ้นสุด     ได้เรียนรู้ว่า ตอนนี้ที่อยู่ ที่พักพิง ขอให้เป็นที่กำบัง ลม กำบังฝน กำบังน้ำ กำบังแดด เป็นที่ปลอดภัย  ที่หลบพักพิง  คือคุณค่า แท้ของที่อยู่อาศัย   ก่อนที่เราสบาย บ้านหรูหราใหญ่โต อวดมั่งอวดมี  ที่นอนกว้างใหญ่ นุ่มนวลสบาย  ติดความสบาย อยู่ที่ไหนได้อยาก เพราะยึด คุณค่าเทียม มากว่าคุณค่าแท้    เห็นไหมว่าทุกคนรักชีวิต แม้ถึงคราวป่วย พวกยาต่างๆที่บรรเทา เป็นสิ่งสำคัญทั้งสิ้น นี้ คือคุณค่าแท้ ของยา เมื่อก่อนครั้งเราสบาย เราหาสารพิษ สุรา บุหรี่ ยาเสพติด สิ่งอื่นๆมากมาย เพื่อทำร้ายตัวเราเอง พอถึงยามป่วยจริงเราทนไม่ได้ ก็ต้องพึ่งพายารักษาโรคจริงๆ
14.  ได้มองเห็นคุณค่า แท้ของ หลักธรรมที่ว่า สติ สัมปชัญญะ กันเสียที เวลาเดิน เวลากระทำอะไร จะไม่เสี่ยงในสิ่งหลายๆอย่าง  คือ ไม่ประมาท ในชีวิตนั้นเอง รู้ตัว รอบคอบ รู้ความรู้สึกตน รู้สึกตัว ตื่นตัว ไม่ใจลอย ระวังสติ ไม่ให้ ความทุกข์มาครอบงำจิตซ้ำเติมให้ใจเราทุกข์มากกว่าเดิมอีก
(ข้อสุดท้ายมีกี่คนที่มีศักยภาพพอที่ทำได้ หวังว่าคุณทำได้)


เป็นเรื่องที่ใครไม่อยากให้เกิด น้ำท่วม จนทำลายทรัพย์สิน ที่เราอุตส่าห์หามาตลอดชีวิตหรอก แต่นี้ คือ สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว และเราได้เผชิญ   หลายคน ต้องใช้เวลาทำใจไม่น้อย และคงต้องมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำให้คิดมาก ว่าต่อไป ตัวฉัน และครอบครัว จะดำเนินชีวิตกันต่อไปเช่นไร แต่ตราบใดที่เราเป็นมนุษย์ ที่ เราไม่เคยว่าตัวเอง โง่ ไม่เก่ง ไม่ฉลาด ไม่มีปัญญา ไม่มีความสามารถ และความรู้ เราหลายคนเคยคิดกันอย่างนั้น ขอให้ความคิดนี้จงกลับมา กลับมาเพราะมันเป็นสมบัติ ของเราที่มันไม่ได้จมไปกับน้ำ จงยกศักยภาพ เหล่านี้ ให้เป็นกำลังของพวกเราเถิด เพราะเราที่เคยมีหลายสิ่งหลายอย่างเมื่อก่อน เพราะศักยภาพเหล่านี้ไม่ใช้หรือ         ชีวิต นี้มันยังมีอยู่ ลมหายใจ เรายังมีถ้าจะยอมแพ้สิ้นหวัง ในการที่จะไม่คิด สู้ใหม่ เราสมควรอายคนที่เรารัก และคนอีกหลายคน ที่เขาประสบปัญหาบางอย่างที่เลวร้ายกว่าเราด้วยซ้ำ ในโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดที่เลวร้าย มากกว่า ใจเราที่ทำร้ายใจตัวเอง ขอให้นึกตอนนี้ว่า เราทำร้ายจิตใจตัวเองหรือเปล่า กำลังเศร้า เสียใจ กังวล เครียด หรือ ความรู้สึกใดๆที่ทำให้เราทุกข์ หรือ สิ้นหวัง จงถอนตัวออกมา และเปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่ ที่จะทำให้เราปล่อยวางความยึดมั่นในอารมณ์นั้นได้  สิ่งของมันหายไป เสียไป จากไป มันไม่ได้มีความรู้สึกนึกคิด จิตวิญญาณของมันที่จะต้องมาใส่ใจ เสียใจกับเราหรอก สิ่งที่เสียใจ คือ ตัวเราที่โง่ ให้กับสิ่งที่ไม่มีจิตวิญญาณกับสิ่งนั้นต่างหาก ขอให้คิด ว่า อย่าไปนอนโง่ ให้กับสิ่งไม่มีหัวจิตหัวใจอย่างนั้น เรามันจะบ้า ปราสาทเสียก่อน   ขอให้คิดว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง  ขอให้คิดว่า สักวันมันต้องผ่านไป ขอให้คิดว่า คนอื่นเขาก็เดือดร้อนเช่นเดียวกับเรา อาจเดือดร้อนกว่าเราด้วยซ้ำ  ขอให้คิดว่า เรายังมีเพื่อนมนุษย์ที่เขาไม่ทิ้งเรา เราก็ไม่ทิ้งเขาเช่นกัน   ขอให้คิดว่า ไม่ตายก็หาใหม่ได้     ขอให้คิดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ มันคือสิ่งไม่แน่นอน ไม่จีรังยั่งยืน ทั้งสิ้น มีมาและมีจากไป
ขอให้คิดว่า คนที่ฉลาดอย่างเรา จะไม่ยอมเสียใจให้กับสิ่งที่ผ่านมาแล้ว  มีหลายสิ่งที่เราต้องคิดในทางแง่ดีเพื่อปลอบใจตัวเอง และคนรอบข้างเข้าไว้ สิ่งที่เราคิดนี้แหละ ถ้าคิดไม่ฉลาดมันจะฆ่าเราทั้งวันทั้งคืน ถ้าคิดฉลาดในแง่คนมีปัญญา แง่ดี มันจะเยียวยาหัวใจเราเอง ไม่มีใครทำร้ายเราเท่ากับเราคิดแง่ร้ายและซ้ำเติมจิตใจตัวเอง     ขอเป็นกำลังใจให้    สิ่งใดที่เขียนผิด กล่าวผิด ในที่นี้ ขัดกับความรู้สึกของผู้อ่าน ขออภัยด้วย ไม่ได้มีเจตนาร้าย.
โดย ชัยวัฒน์ ทองพริก

วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ทำไมต้องกลัวผี ฝึกวิธีคิดไม่กลัวผี ดีกว่า คิดแบบทางธรรม และ ทางโลก


เพลง บทปลงสังขาร ฉบับโบราณ ดั่งเดิม
ทำไมต้องกลัวผี ฝึกวิธีคิดไม่กลัวผี ดีกว่า
คิดแบบทางธรรม และ ทางโลก
และ โน้มความกลัวเขาสู่ ทางธรรม อาจจะลึกในความคิดสักหน่อย
ไม่ได้หวังว่าจะให้เราเลิกกลัวกันอย่างง่ายๆแบบฉับพลัน แต่ให้เรารู้จักคิดมากขึ้น และฝึกฝนพัฒนาใจให้สูงยิ่งขึ้น ทุกอย่างต้องใช้เวลาของมัน

1.ผีเขาก็เคยเป็นคนเหมือนเรา แม้แต่จะเป็นญาติ เป็นเพื่อน เป็น พ่อ แม่ คนที่เรารัก ดั่งก่อนที่เขามีชีวิตอยู่

2.ไม่เคยได้ยินข่าวว่า ผีฆ่าคน เบียดเบียนคน ปล้นคน ผิดศีล 5 กับใคร

3.ผีมีแต่วิญญาณ เรามีทั้งกาย เนื้อ และ วิญญาณ เรามีมากกว่าเหนือกว่า

4.พื้นแผ่นดินนี้ มีคนเคยตายแล้วทั้งนั้น ตั้งแต่มีมนุษย์มา กระดูกมากมายฝั่งอยู่ในแผ่นดิน เรากำลังเหยียบกองกระดูก ของบรรพบุรุษ ครั้งก่อน

5.ก่อนที่เราเกิดมาในโลกนี้ เราเคยเป็นผีเป็นวิญญาณ มาก่อน

6.และเมื่อเราจากโลกนี้ที่สุดของคนเรา ก็จะกลับไปเป็นวิญญาณอีก

7.เรากลัวกระดูก กันทำไม เมื่อในร่างกายเราก็มีกระดูก

8.เรากลัวศพทำไมเมื่อสักวันหนึ่งเราก็ต้องแปรสภาพเป็นอย่างนั้น คืนสู่ ธรรมชาติ

 9.เรามักเรียกวิญญาณรวมๆว่าผี (ทางพุทธเราเรียก อุปติกะ) แต่นั้น อาจจะเป็น เทวดา นางฟ้า เทพเจ้า สิ่งศักด์สิทธิ์ มาช่วยคุ้มครองเราก็ได้

10.สิ่งศักดิ์สิทธิ์ วิญญาณ ชั้นสูงเขามีแต่ช่วยคน ไม่ทำร้ายคน เขาก็อยากสร้างสมบุญ เช่นกัน

11.ปากของเรา กระเพาะของเรา ก็เป็นโลงศพที่ทิ้งซากของวิญญาณ พวก อาหารเนื้อ สัตว์ที่สละร่างกายชีวิตให้เราได้กินไป

12.สัตว์มันไม่มีความคิดรู้สึกกลัวผี แม้แต่วิญญาณพวกของมัน หรือ แม้จะอยู่ที่ใด แต่แปลกที่เราที่ว่าจะฉลาดกว่ามันกลับคิดกลัวขึ้นมา คนบ้า มันยังไม่กลัวผี

13.และผีก็อยู่ส่วนผี จะไปหาเรื่องที่จะเข้าไปยุ่งกับสิ่งนั้นทำไม เมื่อไปอยู่ หมกหมุ่นในเรื่องเหล่านี้ ก็มักจะเจอพัวพันกับสิ่งเหล่านี้ ว่าใครชอบอะไร สนใจอะไร ก็มักจะไปอยู่กับสิ่งเหล่านั้น (ดั่งพวกชอบเล่นของ ทำคุณไสย ย่อมไม่พ้น เรื่อง กรรมเหล่านี้)

14.เรากลัวความมืด หรือกลัวอะไร ที่ใจจะปรุงแต่งในความมืดนั้น ลองคิด กลับดูถ้ากลางคืน เป็นกลางวัน มันจะน่ากลัว ผี หรือเปล่า

15.ผีหลอกคนไม่เท่ากับคนหลอกคนด้วยกัน
16.ทางวิทยาศาสตร์ พิสูจน์แล้วว่า ผี  คือ พลังงานชนิดหนึ่ง
 17.ผี วิญญาณ มีอยู่ตามธรรมชาติ ธรรมดา ตามปัจัยของมันอยู่อย่างนั้น
 18.ถ้าไม่กลัวตายเสียอย่างเดียวแล้ว สิ่งเหล่านี้เราก็จะไม่กลัว

19.เรื่องผี หรือ วิญญาณ ที่เราเรียกกัน ถ้าเราศึกษากระบวนการแห่งจิต ตามหลักพุทธศาสนา สิ่งนั้นก็จะเฉลยว่า สิ่งที่เรากลัวไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร มันมีอยู่อย่างนั้น ตามเหตุปัจจัย ธรรมชาติ เรื่องลี้ลับก็ไม่ใช่เรื่องลี้ลับ อีกต่อไป

20.ผีหลอกเราไม่เท่ากับเราหลอกตัวเอง ปรุงแต่งจิตวาดภาพให้น่ากลัว แต่งเป็นหัว เป็นเท้า เป็นรูปร่างลำตัวขึ้น

21.สิ่งที่ เราเรียกว่าผีนั้น  ศพ นั้น เขาก็เรียกว่าผี ส่วนจิตใจคน ที่เป็นไปด้วยกิเลศ นั้นก็เรียกว่า ผี เช่นกัน

22.ผี ที่น่ากลัวที่สุด คือ ผีกิเลศในใจคน ที่มี ทั้ง โลภ โกรธ หลง มันจะฆ่าตัวเราเอง กระทั้งจะ ทำลายชีวิตคนอื่นให้เป็นผีได้ สารพัดพิษวิธี ที่จะจ้องทำลาย

23.ผีมักจะมาสิ่งสู่ใจคน ที่อ่อนแอ คือ อ่อนแอให้กิเลศ     และ นำพาไปในทางเสื่อม คือ      ผี อบาย มุข ๖
  มีผี ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน เที่ยวดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร และเกียจคร้านการทำงาน 

24.ผี หลอกเราไม่เท่ากับเราหลอกตัวเอง หลงตัวเอง  คือ หลงใน  ทิฐิ ความ ดื้อรั้นผิดๆของตน  และ มานะ ความมัวเมาถือตัว อวดดื้อ อวดเบ่ง และ หลงลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ว่าเป็นสิ่งสูงสุดของชีวิต  หลงว่าทุกข์ เป็นสุข ว่าผิดเป็นชอบ และ หลงไม่เข้าใจ อนิจจัง  ทุกขัง อนัตตา  รวมเรียก ว่า หลงใน จ้าวแห่งผี คือ ผี อวิชชา คือ ความไม่รู้ตามความเป็นจริงของโลก ว่า อะไร เป็นอะไร
25. หัดฝึกพิจารณาร่างกาย ให้ลึกๆ ด้วยกรรมฐาน หรือ ความคิดความอ่านสติปัญญา ที่เรามี ให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในร่างกายเรา ว่า ประกอบด้วย ธาตุ 4 และ ขันธ์ 5 ที่มารวม เป็นสมมุติ ว่าเป็นตัวเรา ของเราขึ้นมา และแปรสภาพในความจริงว่า มันไม่ใช่ตัวใช่ตน และเมื่อฝึกลึกๆจนเป็นนิสัย จนเห็นความจริง มันก็จะไม่มี ตัวมีตน ให้กลัวสิ่ง เหล่านี้
26. เป็นคนดี จิตกุศล มั่นคงในหลักธรรม ผีมีแต่เกรงใจเรา คุ้มครองเราด้วยซ้ำ และ ผีร้ายไม่กล้ำกลาย จิตใจ มั่นคง มีสติ สัมปชัญญะ คือ ใจที่ประเสริฐ

27.ผีใดจะทำร้าย เท่ากับเราทำร้ายจิตใจตนและร่างกายตัวเรา ผีใดจะหน้ากลัวเท่ากับคน ที่เบียดเบียนข่มเหงเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

28.สร้างเวร ก่อกรรม ทำชั่ว จะสร้างผีติดตัวเรา แบบเงาตามตัว ดั่งสุนัข ล่าเนื้อ เมื่อ เหยื่ออย่างเราอ่อนแอ (ด้วยจิตที่ตกต่ำในกิเลศ) ถึงเวลามันจะกัดกินจิตวิญญาณเรา ให้ตายทั้งเป็น น่ากลัวกว่าผีทั้งหลาย นั้น คือ ผีกฎแห่งกรรม แห่ง อกุศล (เจ้ากรรมนายเวร พึงระวัง อย่าเบียดเบียนใคร ทำร้ายใคร ในทางใดทางหนึ่ง)

29.คนเรา มีพลังงาน แห่ง กุศลจิต และอกุศลจิต ที่เป็นเชื้อเหตุปัจจัย อย่างต่อเนื่องของ การเวียนว่ายตายเกิด วนเวียนในสังสารวัฏ และมีจิต ธรรมชาติอันต่อเนื่อง แม้ในปัจจุบันขณะ แม้นอน จิตก็ทำงาน ยังเกิดฝันได้ ละเมอได้ จนกระทั้งตายไปในร่างกาย จิตก็ยังทำงาน แปรสภาพ พลังงาน ตามเหตุปัจจัย อิทัปปัจยตา (เมื่อมีสิ่งนี้เกิดสิ่งนี้จึงเกิด)หรือ เรียก ว่า กฎแห่งกรรม ตามพลังของ กุศล และ อกุศล ดังนั้นในช่วงทั้งหลายเหล่านี้ เราก็ยังเวียนว่าย อยู่ในสภาพ อุปติกะ สภาวะวิญญาณ เช่นกัน อยู่ในหลายภพ หลายชาติ ทั้งทาง จิต ที่ มีอุปาทาน ทั้งทางโลกเนื้อหนัง ที่เกิดในท้องมารดา เราก็เป็นสิ่งนี้มาหลายภพหลายชาติ ตราบใดที่ไม่หมดเชื้อที่ทำให้เกิด ทั้ง ฝ่ายบุญ และ ฝ่ายบาปจนกว่า  สะสมจิตสู่นิพพาน คือ สภาวะ เหนือ สุข เหนือทุกข์ นั้นเอง.

 30. ในใจคนเรานั้น ขณะใจจะปรุงแต่ง จะเกิดอุปาทาน (ความยึดมั่น ถือมั่น ในอารมณ์ทั้งหลาย) สร้างให้เกิดเป็นอะไรก็ได้ เช่น ขณะ โกรธ จิตเรามันร้อนเร่า ทุรนทุราย เป็นดั่งสัตว์นรก ทำลายสิ่งนั้นสิ่งนี้  และ เมื่อตัณหา เห็นสิ่งใด ที่ถูกใจตามอารมณ์ ของความ อยากได้ อยากมี ใจมันทุรนทุราย กระสับกระส่าย สับสนมุ่งต้องการสิ่งนั้นมาครอบครอง นี้เขาบอกว่า ตาโต อยากได้ มือใหญ่อยากกอบโกย ปากเล็กกินไม่รู้จักอิ่ม เมื่อได้มาแล้วอยากได้อีก วนเวียนอยู่อย่างนี้ เรียกว่า จิตใจเกิดเป็นเปรต นี้เรียกว่าเกิดจากความโลภ    และเมื่อ จิตใจมีความกลัวสิ่งนู้นสิ่งนี้ กลัวในทุกอย่าง ด้วยความยึด แม้ว่ากลัวสิ่งใดที่ต้องจากไป กลัวในเรื่องอดีต กลัวไปในอนาคต จิตใจฟุ่งซ่าน วิตกเสียแล้ว นี้เป็นไปในรูปของ ความหลง เขาเรียกว่าเกิด เป็น อสูร คือ ใจมันกลัวไปต่างๆนา  ใจเรามันจะเป็นอะไรก็ได้ แล้วแต่ภูมิจิต ของเรามันเป็นกระแสทำให้เกิด จะเป็นเทวดา พระพรหม หรือ สิ่งสูงๆต่ำ แต่ระดับภพภูมิของจิต ในปัจจุบันขณะมันเกิดมีความรู้สึกในใจ  นี้เราต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ เพราะมันจะต้องเป็นเหตุปัจจัย ให้ไปสู่เมื่อกายนี้ตายไปด้วย จะเกิดเป็นภพภูมิ ของการเกิด เป็นผี เป็นสัตว์นรก เป็นเปรต อสูรกาย ในอีกแบบหนึ่ง ในโลกหน้า ด้วยเช่นกัน  เรื่อง อิทัปปัจจยตา คือสิ่งที่เราต้องศึกษา คือสิ่งพระพุทธเจ้าวางไว้ให้ เป็นคัมภีร์ที่ประเสริฐกว่า วิชาใดๆในทางโลก  จะทำให้เราเริ่มเรียนรู้ในหลายสิ่งหลายอย่าง ที่จะเป็นประตูทางปัญญา จนกระทั่งทำให้เราพ้นทุกข์เสียได้  ผู้ไม่ประมาท ของการเกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ จงอย่าละเลยสิ่งเหล่านี้ไป.

ตราบใดที่เรายังมีสัญชาติญาณ แห่งความยึดมั่นถือมั่น เสียแล้ว ในเรื่องต่างๆ เราก็ยังต้องตกอยู่ในสภาพของความกลัว ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เรายึดมั่นไว้ ถ้าฝึกบรรเทาความยึดให้น้อยลง ก็ทุกข์ หรือ กลัวน้อยลง ถ้าฝึกสู่ความเข้าใจ ความปล่อยวางได้มาก ก็ทุกข์น้อยลงยิ่งกว่า ยิ่งเข้าใกล้นิพพานมากขึ้น นั้นเอง.
     โดย อุตฺตมสาโร ภิกขุ


            เราเรียกสิ่งทั้งหลายแบบเหมารวม  ที่ว่าหลังจากตายนั้น ว่าผี หรือ วิญญาน  ที่จริง เราไม่รู้ว่าหลังจากตายนั้น จะไปเกิดเป็นอะไร ตามภพภูมิของตนที่สร้างเวร สร้างกรรมมา จะเป็นเปรตวิสัย อสูร สัตว์นรก เทวดา พรหม เทพ อะไรๆอย่างนั้น นี้เราเรียกว่าเกิด(จุติ) เป็นภพภูมิใด ภูมิหนึ่ง เกิดแบบไม่ต้องมี พ่อ แม่ เกิดตามกรรม เรียกว่า อุปติกะ พระพุทธเจ้าท่านทราบ เลยเรียกตรงๆว่า นั้นเปรต นั้นเทวดา นั้นอสูร ไปตามๆนี้ แต่เรานั้นไม่ทราบ เลยเรียกรวมเหมาง่ายๆว่า ผี ตามประสาของคนทั่วไป เมื่อเขาตายเเล้วในร่างกายเนื้อเขาก้เกิดทันที เป็นอะไร เสวยภพชาติอย่างไร ตามกรรมนั้น ที่เป็นเผ่าพันธ์ บุญ กุศลนั้นแหละเป็นที่หล่อเลี้ยง ถ้าบุญไม่พอ นี้จะเสวยภพภูมิอย่างทรมาณนั้นไป ดั่งนั้นรีบสร้างกรรมดี ให้ทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา เข้าหาพระพุทธศาสนาโดยเร็วเถิด จะขอเตือน......

วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ตัวเลขที่มีอาถรรพ์ตามความเชื่อต่างๆ

ตัวเลขบางตัวมีอาถรรพ์จริงหรือ
อาถรรพ์จากตัวเลข ตามความเชื่อ

ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าจนถึงปัจจุบันนี้แล้วความเชื่อ(นานาชาติ)เรื่องตัวเลขอัปมงคลยังคงถูกยึดมั่นถือมั่นกันมาอย่างเหนียวแน่นจนถึงกับมีเรื่องราวที่น่าอัศจรรย์ออกมาให้แปลกใจกันเล่นอย่างเช่น

 · ไมโครซอฟท์ออฟฟิศรุ่นพัฒนาใหม่ต่อจากรุ่นที่ ๑๒ ก็จะเป็นรุ่นที่ ๑๔ เลย ... จะไม่มีรุ่นที่ ๑๓

· มีโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยในลอนดอนบางโครงการไม่ยอมใช้หมายเลข ๔ ๑๓ ๑๔ และ ๒๔ ในการกำหนดหมายเลขอพาตเมนท์ของโครงการ หรือ ตึกสูงในอเมริกา แคนนาดา เซี่ยงไฮ้ต่างก็ไม่มีชั้นที่ ๑๓

 · บนเครื่องบินของสายการบินพานิชย์ Nippon Airways จะไม่ปรากฏที่นั่งหมายเลข ๔ ๙ และ ๑๓ เลยแม้แต่เครื่องเดียว

 · ศุกร์ที่๑๓ เป็นวันแห่งความโชคร้ายตามความเชื่อของชาวอังกฤษ ชาวเยอรมัน ชาวโปแลนด์ ชาวรัสเซีย ชาวฮอลันดา ชาวโปรตุเกส

· หรืออังคารที่๑๓ เป็นวันแห่งความโชคร้ายตามความเชื่อของชาวกรีกและชาวสเปน
 · ฯลฯ
 ...... ตัวเลขเจ้าปัญหาเหล่านี้ มีอะไรอยู่เบื้องหลังบ้างนะ ......

 เลข ๔ ... ทั้งญี่ปุ่นและจีน (ความจริงต้องบอกว่าชนชาติที่พูดภาษาจีนจึงจะถูก) ล้วนไม่ชอบเลขตัวนี้ด้วยเหตุผลที่แสนคลาสสิค....ไม่ชอบเสียงที่เปล่งออกมาเพราะฟังแล้วเหมือนกับคำว่าตาย

เลข ๙ ...เลขอีกตัวที่คนญี่ปุ่นไม่ชอบเสียงของมันเลยเพราะเหมือนกับคำที่หมายถึงความปวดร้าวทรมาน

เลข ๑๓ ...ตัวเลขยอดฮิต มีเหตุผลหลากหลายเหลือเกินที่ชวนให้ชาวประชาหลายส่วนในโลกมีความรู้สึกต่อต้านกับมัน ยกตัวอย่างเช่นชาวคริสต์ถือว่าเป็นเพราะอาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซูมีผู้็ร่วมโต๊ะเสวย ๑๓ คนในวันศุกร์ที่ ๑๓ และจูดาส...สาวกทรยศที่ขายความลับว่าจะหาพระเยซูได้ที่ไหนให้แก่โรมันด้วยราคา ๓๐ เหรียญเงิน...ยังเป็นคนที่ ๑๓ที่มาถึงโต๊ะอาหารนั้น

 อีกเหตุผลหนึ่งที่ถูกรังเกียจก็คือว่าในบางปีจะต้องมีวันพระจันทร์เต็มดวงถึง ๑๓ วัน นั่นก็แสดงว่าจะมีเดือนหนึ่งที่มีพระจันทร์เต็มดวงถึง ๒ ครั้ง ... ซึ่งพระจันทร์เต็มดวงครั้งที่สองนี้เรียกว่า Blue moon และด้วยเหตุที่ ๕ ปีจะมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นครั้งหนึ่งจึงเป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่า Once in a blue moon ซึ่งหมายถึงยากที่จะเกิดขึ้นได้ หรือไม่ปกติมากๆ ... มาถึงตรงนี้อาจมีบางคนสงสัยได้ว่าแล้ววันพระจันทร์เต็มดวงมีอะไรเป็นพิเศษหรืออย่างไร ก็ต้องขอเลี้ยวเข้าซอยกันหน่อยว่าพวกออกจากถ้ำหลังเราเอ้ยฝรั่งบางคนเขาเชื่อว่าในเวลาเที่ยงคืนพวกผู้ชายจะแปลงร่างเป็นหมาป่ากันในคืนที่พระจันทร์เต็มดวง....โโบร๊วว....
 นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องเล่าว่าในสมัยของพระเจ้าอเลกซานเดอร์มหาราช พระองค์ทรงตั้งปณิธานแน่วแน่ที่จะทรงเป็นพระเจ้า และในระหว่างที่มีการสร้างรูปปั้นพระเจ้าประจำเดือนแต่ละเดือน พระองค์ได้เสด็จสวรรคตเมื่อปั้นมาถึงองค์ที่๑๓ ชาวประชาของพระองค์ต่างพากันเชื่อว่าพระปณิธานของพระองค์นั่นแหละเป็นสาเหตุ และยังพากันถืออีกว่าเลข ๑๓ เป็นตัวเลขแห่งความโชคร้ายนับแต่นั้นมา

 เลข ๑๗ ... เลขตัวนี้ถูกรังเกียจโดยชาวอิตาลีเพราะตัวสะกดของมันในอักษรโรมันเมื่อนำมาสลับที่ใหม่เป็น VIXI จะให้ความหมายในภาษาลาตินว่า...ฉันเคยมีชีวิต

เลข ๖๖๖ ... เลขประจำตัวของอสูรร้ายที่ผุดขึ้นมาเพื่อทำลายศาสนาคริสต์ เล่ากันว่าในวาระสิ้นโลกเจ้าอสูรร้ายตัวนี้จะปรากฏตัวในสภาพใดสภาพหนึ่งและมีเลขตัวนี้เกี่ยวพันถึงตัวมัน

ข้อคิดหลักธรรมจาก เรือ ชีวิต

เพลงสายลม ลมจงพัดเธอไป ล่องเรือชีวิตให้ดี  (เพลงประกอบบทความ)
ข้อคิดหลักธรรมจาก เรือ ชีวิต
มหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำ ดั่งมนุษย์ไม่อิ่มด้วยตัณหา


       @  การเดินทางชีวิตเปรียบ เช่นเรือ เมื่อออกเดินทางแล้ว จุดหมายก็อยู่อีกฟากฝั่ง มนุษย์เรานั้น คือ ฝั่งแห่งการลาโลกนี้คือปลายทาง แต่ต้องเดินอีก และลงเรือ และพายไปอีก อย่างนี้อยู่เรื่อยไป ตราบใดยังไม่สิ้นกิเลศ สู่ฝั่งแห่งนิพพาน


  @ แม่น้ำ หรือ ทะเล ที่เรือแล่นไป บางครั้ง คลื่นน้ำก็นิ่งสงบ และ คลื่นน้ำก็แปรปรวน จนเกิดคลื่นซัดไปซัดมา ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง แรงบ้าง เป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยไป ดั่งจิตใจ ที่ไม่มั่นคง เอาแน่นอนไม่ได้ของผู้ที่ให้คลื่นของตัณหา พัดพาเราไปอย่างไม่สิ้นสุด

       
 @ ระหว่างช่วงเวลาล่องเรือชีวิต แห่งการเดินทางนั้น เราผ่านพบอะไรมากมาย นกที่บินมาทักทาย ปลาที่กระโดดว่ายน้ำโชว์ความเด่น โขดหินโสโครก ที่เรือเขาไปชน และสัตว์มีพิษที่ไม่ได้รับเชิญ  ผ่านภูเขา  ผ่านพายุ ผ่านคลื่นที่แปรปรวน  ผ่านทุ่งดอกไม้ ชีวิต ก็ เช่นกัน ต้องเรียนรู้ที่จะเผชิญ ที่จะแก้ ที่จะปล่อยวาง ที่จะพัฒนาสู่จิตใจที่เข้มแข็ง อย่างผู้ที่ผ่านอะไรมามากย่อมมีจิตใจที่สงบ และลึกล้ำด้วยปัญญา สู่การเดินทางสู่ฝั่งอย่างสง่างาม

      @ เข็มทิศเรือเป็นสิ่งสำคัญ ว่าเราจะเดินทางไปจุดหมายใด เส้นทางไหนไปอย่างไรถ้าเลือกทิศทางผิด ก็จะเดินสู่หายนะ คนเราก็เช่นกัน ถ้าเลือกทางผิด ก็จะผิดไปจนตาย ถ้าเลือกเดินทางถูก หนทางชีวิตก็จะมีแต่เรื่องดี ดั่งนั้น พวกเลือกทิศทางผิด ถ้ามีสติ ยังสามารถเปลี่ยนเข็มทิศของชีวิตก่อนจะสายเกินไป

@ เรือชีวิต เปรียบดั่งร่างกาย  กัปตันเรือ เปรียบเช่นจิตใจ จะบังคับร่างกายไปทางไหน อยู่ที่จิตใจจะสั่ง แต่จะทานคลื่นแห่งตัณหาสู่ฝั่งได้หรือไม่ อยู่ที่ฝีมือกัปตัน

       
@ เรือแล่นอยู่ท่ามกลางคลื่นมหาสมุทรอันไม่แน่นอน ท้องฟ้าที่สดใสอาจรวมตัวเป็นพายุเมื่อไรก็ได้ สายลมเอื่อย...เบา เบา อาจเปลี่ยนเป็นพายุพัดเราให้จมสู่ห้วงทะเลอันไม่กลับคืน ก่อนจะถึงฝั่งอันสวยงาม ชีวิต เราตั้งอยู่ในความไม่แน่นอน ดังนั้นอย่าประมาท จงบังคับเรือชีวิต ด้วยสติ เสมอ

 @ เรือใบ ต้องหนุนด้วยแรงลมอย่างพอดี ถึงจะเคลื่อนไปข้างหน้า ชีวิตเรา เช่นกัน ต้องมีคนคอยสนับสนุน ให้โอกาสอย่างเหมาะสม

 @ กัปตัน เรือ ต้อง มีความรู้ความชำนาญ เรื่องเรือ และสิ่งต่างๆที่เกี่ยวกับการล่องเรือในมหาสมุทร และมีความกล้า ที่ตัดสินใจ เมื่อเผชิญปัญหา อุปสรรคต่างๆ เฉพาะหน้า อย่าง ชาญฉลาด และมีสติ ปัญญา อันเฉียบคม และรวดเร็ว
เมื่อมีโอกาสผู้นำ ควรแสดงให้ ลูกเรือเห็น เพื่อกำลังใจ ความเชื่อมั่น ของผู้ที่จะฝากชีวิตไว้กับเรา  และการเดินทางสู่เป้าหมาย อย่างสง่างาม มีศักดิ์ศรี
     ชีวิต เรา เช่น กัน บางครั้งเราต้องการกำลังใจ ผู้สนับสนุนให้โอกาส เมื่อเราพร้อม ด้วย ความรู้ ความกล้า สติปัญญา ความสามารถ และ วาสนา ที่เราสะสมมาจากการกระทำ เราก็จะสู่จุดมุ่งหมายได้ แต่เพื่อ ประโยชน์ของคนทั้งหลายด้วยที่เขารอให้คุณให้โอกาสเขา เช่นกันกับคุณที่ได้รับโอกาสนั้น

 @ การเดินทางถึงฝั่งนั้นไม่สิ้นสุด(ความตาย) เมื่อ ถึงฝั่ง เธอทิ้งเรือ(ร่างกาย) แต่กัปตัน(จิตใจ) คือ จิตใจ นั้นยังเดินทางอยู่ แต่ไม่ใช่กัปตันเดิม เพราะ ผ่านเหตุปัจจัยแห่งช่วงเวลามามาก(คือ การขัดเกลา อวิชชา) และก็เปลี่ยนหนทางที่จะไปพบเรือลำใหม่ ที่รออยู่ เรือ อาจจะดีกว่าเก่า หรือ ร้ายกว่า ว่าเป็นเรือชีวิตใด หนทางที่ไม่แน่นอน ก็ยังมีอยู่ข้างหน้า แต่ตราบใด ที่กัปตัน(จิตใจ) คนใหม่ นั้นยังมีเหตุปัจจัย หรือ พลังของการขับเคลื่อน(กิเลศที่ยังเหลืออยู่) ก็ย่อมนั่งเรือชีวิต แล่นสู่มหาสมุทร(สังสารวัฏ)อันไม่จบสิ้นนั้นอีก วนเวียนอยู่ เช่นนี้ ตราบที่กัปตัน (จิตใจ)มีจิตที่สะสมช่วงเวลาเหล่านั้นอย่างถูกต้อง เข้าใจ( พุทธะ สัมมาทิฏฐิ) และ บอกว่าพอสะที ที่เรานั้น ต้องทิ้งเรือ(ร่างกาย)(ความไม่ยึดมั่นถือมั่นในร่างกาย) แล้ว กับความทะเยอทะยาน(ตัณหา)  ของตัวผู้บังคับเรือ จนกว่ากัปตัน(จิตใจ)จะทิ้งทุกอย่างอย่างปล่อยวางด้วยความเห็นถูกของ ตัวเขาเอง (จิตใจที่รู้แจ้ง ) และเขาก็นั่งลงอย่างสงบ และ ทอดกายมองท้องฟ้าที่ว่างเปล่า อากาศ ที่สดชื่น ตราบนานเท่านาน (นิพพาน) เรือ ชีวิต แห่ง ความทุกข์ ก็หยุดเพียงเท่านี้ นี้ คือ ฝั่งจุดหมายของมนุษย์ที่สมบูรณ์นั้นเอง.
                                                                                                           
โดย อุตฺตมสาโร ภิกขุ
 ภาพประกอบโดย ชัยวัฒน์ ทองพริก

จุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา และ หลักแห่งพระพุทธศาสนาโดยสรุป พุทธศาสนาสอนอะไร

 จุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา
     จุดหมายสูงสุด ของพระพุทธศาสนา พึงบรรลุได้ด้วยความสุขหรือด้วยข้อปฏิบัติที่มีความสุข มิใช่บรรลุด้วยความทุกข์ หรือด้วยข้อปฏิบัติที่เป็นทุกข์  ผู้ปฏิบัติจะต้องไม่ติดใจหลงไหลในความสุขที่เกิดขึ้นแก่ตน ไม่ปล่อยให้ความสุขที่เกิดขึ้นนั้น ครอบงำ   จิตใจของตน ยังมีจิตใจเป็นอิสระ สามารถก้าวหน้าไปในธรรมเบื้องสูง ต่อๆ ไป จนบรรลุความเป็นอิสระ
        หลุดพ้นโดยบริบูรณ์ ซึ่งเมื่อบรรลุจุดหมายนั้นแล้ว ก็สามารถเสวยความสุขที่เคยเสวยมาแล้ว โดยที่ความสุขนั้น ไม่มีโอกาส  ครอบงำจิตใจ ทำให้ติดพันหลงไหลได้เลย
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)

หลักแห่งพระพุทธศาสนาโดยสรุป
     พุทธศาสนาคือวิชาและระเบียบปฏิบัติ เพื่อให้รู้สิ่งทั้งปวงถูกต้องตามที่เป็นจริงว่าอะไรเป็นอะไร สิ่งทั้งปวง มีสภาพตามที่เป็นจริง คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวหรือของตัว ; แต่สัตว์ทั้งหลายยังหลงรัก หลงยึดติดสิ่งทั้งปวง เพราะอำนาจของการยึดมั่นที่ผิด ในพุทธศาสนามีวิธี ปฏิบัติเรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือ ตัดการติดการยึดมั่นนั้นเสีย อุปาทาน การยึดมั่นนั้นมีสิ่งที่ลงเกาะหรือจับยึด คือ ขันธ์ทั้งห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
      เมื่อรู้จักขันธ์ทั้งห้า ตามที่เป็นจริง ก็จะสามารถเข้าใจสิ่งทั้งปวงจนถึงกับเบื่อหน่ายคลายความอยาก ไม่ยึดอะไร ติดอะไร และเราควรจะมีชีวิตอยู่อย่างที่เรียกว่า "เป็นอยู่ชอบ" คือให้ วันคืนเต็มไปด้วยความปีติ ปราโมทย์ อันเกิดมาจากการกระทำที่ดีที่งามที่ถูกต้องอยู่เป็นประจำ แล้วระงับความฟุ้งซ่าน เกิดสมาธิ เกิดความเห็นแจ้งได้เรื่อยๆ ไป จนกระทั่งเกิดความเบื่อหน่าย ความคลายออก ความหลุดพ้น และนิพพานได้ตามความเหมาะสมของสิ่งแวดล้อม
      ถ้าเราจะรีบเร่งทำให้ได้ผลเร็วขึ้น ก็มีแนวปฏิบัติที่เรียกว่า วิปัสสนาธุระ เริ่มตั้งแต่มี ความประพฤติบริสุทธิ์ มีใจบริสุทธิ์ มีความเห็นบริสุทธิ์ เรื่อยขึ้นไปจนถึงมีปัญญา คือความเห็นแจ้งบริสุทธิ์ ในที่สุดก็จะตัดกิเลสที่ผูกมัดคนให้ติดอยู่กับวิสัยโลกออกเสียได้ เรียกว่า การบรรลุมรรคผล
ท่านพุทธทาสภิกขุ : คู่มือมนุษย์
อย่าเพิ่งออกจากการอ่า่นครับ เปิดเพลงนี้ และเริ่มฟัง และเข้าสู่เส้นทางแห่งพุทธศาสนา เสียที

www.thammapedia.com
( ศูนย์เผยแผ่พระพุทธธรรม )
Copyright © 2008 ALL RIGHTS RESERVED
           

พุทธประวัติฉบับย่อที่สุด

เพลง พาหุง ฉบับแปล เปิดประกอบบทความ 
ยินดูต้อนรับสู่บล้อกท่องเที่ยวใต้สู่เเดนธรรม
 พระประวัติของพระบรมศาสดา (ฉบับย่อ)

             
สกุลกำเนิดและปฐมวัย

ก่อนพุทธศักราช ๘๐ปีพระนางสิริมายา ราชธิดาของกษัตริย์โกลิยวงค์ผู้ครองกรุงเทวทหะ พระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงประสูตรพระโอรส เมื่อวันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีจอ ณ สวนลุมพินีวัน ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับกรุงเทวทหะ(ปัจจุบัน คือ ตำบลรุมมินเด ประเทศเนปาล)


 หลังจากประสูติ

อสิตดาบส เป็นมหาฤษีอยู่ ณ เชิงเขาหิมพานต์เป็นที่เคารพของราชสกุลได้รับ ทราบข่าวการประสูตรของพระกุมารจึงเดินทางมาเยี่ยม และได้ทำนายว่า ถ้าพระกุมารอยู่ครองฆราวาสจะได้เป็นจักรพรรดิ ถ้าออกบวชจะได้เป็นศาสดาเอกของโลก ๕ วันหลังประสูติพระเจ้าสุทโธทนะพร้อมทั้งพระนางสิริมหามายา พระประยูรญาติได้จัดพิธีขนาน พระนามพระราชกุมารว่า สิทธัตถะ โดยเชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คนมาเลี้ยง แล้วได้คัดเลือก เอาพราหมณ์ชั้นยอด ๘ คนให้เป็นผู้ทำนายลักษณะพระกุมาร เมื่อประสูติได้ ๗ วัน พระมารดาก็เสด็จทิวงคต พระเจ้าสุทโธทนะ จึงมอบให้พระนางประชาบดี ซึ่งเป็นพระขนิษฐา ของพระนางสิริมหามายา เป็นผู้เลี้ยงดู เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะพระชนมายุ 8 พรรษา ได้ทรงศึกษาในสำนักครูวิศวะมิตร พระองค์ทรงศึกษาได้อย่างรวดเร็ว มีความจำดีเลิศ และทรงพระปรีชาสามารถในการกีฬา ขี่ม้า ฟันดาบ และยิงธนู



            อภิเษกสมรส

วัยหนุ่ม พระราชบิดาไม่ต้องการให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงออกบวช พระองค์ทรงพอพระทัยที่จะให้เจ้าชายสิทธัตถะเป็นองค์จักรพรรดิ จึงใช้ควาพยายามทุกวิถีทางเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะพระชนมายุได้ 
๑๖ พรรษา พระราชบิดาได้โปรดให้สร้างปราสาท ๓ หลัง ให้ประทับใน ๓ ฤดู และทรงสู่ขอพระนางโสธราพิมพา พระราชธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะ แห่งกรุงเทวทหะ อยู่ในตระกูลโกลิยวงค์ให้อภิเษกด้วย เจ้าชายสิทธัตถะได้เสวยสุขสมบัติ

จนพระชนมายุ ๒๙ พรรษา พระนางยโสาธาราก็ประสูติพระโอรส ทรงพระนามว่าราหุล


           



ออกบรรพชา

เสด็จออกบรรพชา เจ้าชายสิทธัตถะทรงเบื่อหน่ายในโลกียวิสัย ถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติอย่างเหลือล้น พระองค์ก็ยังคงตริตรองถึงชีวิตคน ฝักใฝ่พระทัยคิดค้นหาวิธีทางดับทุกข์ ที่มนุษย์เรามีมากมาย พระองค์คิดว่า ถ้ายังอยู่ในเพศฆราวาส พระองค์คงหาทางแก้ทุกข์ อันเกิดจากความแก่ ความเจ็บ ความตายไม่ได้แน่ พระองค์จึงตัดสินใจเสด็จออกบวช โดยพระองค์ทรงม้ากัณฐกะ สู่แม่น้ำอโนมา ณ ที่นี้พระองค์ทรงอธิษฐานเพศเป็นบรรพชิต และมอบหมายเครื่องประดับและม้ากัณฐกะให้นายฉันนะนำกลับไปยังกรุงกบิลพัสดุ์



เข้าศึกษาในสำนักดาบส

การแสวงหาธรรม ระยะแรกหลังจากทรงออกบวชแล้ว เจ้าชายสิทธัตถะได้ทรงศึกษา ในสำนักอาฬารดาบส ที่กรุงราชคฤห์ อาณาจักรมคธ เมื่อสำเร็จการศึกษาจากสำนักนี้แล้ว พระองค์ทรงเห็นว่าไม่ใช่หนทางในการหลุดพ้นจากทุกข์ ตามที่พระองค์ได้ทรงมุ่งหวังไว้ พระองค์จึงลาอาฬารดาบสและอุททกดาบสเดินทางไปแถบแม่น้ำคยา ในตำบลอุรุเวลาเสนานิคมแห่งกรุงราชคฤห์ อาณาจักรมคธ





  บำเพ็ญทุกรกิริยา

การบำเพ็ญทุกรกิริยา เมื่อพระองค์ทรงเปลี่ยนพระทัย ที่จะคิดค้นคว้าแสวงหาความรู้ด้วยพระองค์เอง แทนที่จะทรงเล่าเรียนในสำนักอาจารย์แล้ว พระองค์เริ่มด้วยการทรมานพระวรกาย ตามวิธีการของโยคี เรียกว่า การบำเพ็ญทุกรกิริยา บริเวณแม่น้ำ เนรัญชรานั้น พระมหาบุรุษได้ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาเป็นเวลา ๖ ปี พระองค์ก็ยังคงมิได้ค้นหาทางหลุดพ้นจากทุกข์ได้ พระองค์ทรงเลิกการบำเพ็ญทุกรกิริยา แล้วกลับมาเสวยพระกระยาหาร เพื่อบำรุงพระวรกายให้แข็งแรง จะได้มีกำลังในการคิดค้นพบวิธีใหม่ ในขณะที่พระมหาบุรุษได้ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยานั้น ได้มีปัญจวัคคีย์มาคอยปรนนิบัติรับใช้ ด้วยความหวังว่า พระมหาบุรุษได้ตรัสรู้แล้วพวกตนจะได้รับการถ่ายทอดบ้าง และเมื่อพระมหาบุรุษ ล้มเลิกการบำเพ็ญทุกรกิริยา ปัญจวัคคีย์ก็ได้ชวนกันละทิ้งมหาบุรุษไปทั้งหมด เป็นผลทำให้พระมหาบุรุษได้อยู่ตามลำพัง ในที่สงบเงียบ ปราศจากสิ่งรบกวนทั้งปวง ปัญจวัคคีไปอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน กรุงพาราณสี พระองค์ได้ทรงตั้งพระสติ และเดินทางกายกลาง คือ การปฏิบัติในความพอเหมาะพอควร


                                      ตรัสรู้
ตรัสรู้ ตอนเช้าวันเพ็ญเดือน ๖ ปีระกา ก่อนพุทธศักราช ๔๕  
นางสุชาดา ได้นำข้าวมธุปายาสเพื่อไปบวงสรวงเทวดา ครั้นเห็นพระมหาบุรุษประทับที่โคนต้นไทร ด้วยอาการสงบ นางคิดว่าเป็นเทวดา จึงถวายทอดข้าวมธุปายาสแล้ว เสด็จไปริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตอนเย็นวันนั้นเอง พระองค์ได้กลับมายังต้นโพธิ์ที่ประทับ พบคนหาบหญ้าชื่อโสตถิยะ คนหาบหญ้าได้ถวายหญ้าให้พระองค์ปูลาด ณ ใต้ต้นโพธิ์ แล้วขึ้นประทับหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า แม้เลือดในกายของเราจะเหือดแห้งไปเหลือแต่หนัง เอ็น กระดูก ก็ตาม ถ้ายังไม่พบธรรมวิเศษแล้ว จะไม่ยอมหยุดความเพียรเป็นอันขาด เมื่อทรงตั้งจิตอธิษฐานแล้ว พระองค์ก็ทรงสำรวมจิตให้สงบแน่วแน่ พระองค์เริ่มบำเพ็ญเพียรทางจิต และในที่สุด ทรงชนะความลังเลพระทัย ทรงบรรลุความสำเร็จ เมื่อพระองค์ทรงรู้เห็นอย่างนี้ จิตก็พ้นจากกิเลสทั้งปวง พระองค์ก็ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระชนมายุ ๓๕ พรรษา ในวันเพ็ญ เดือน ๖ ปีระกา
 ธรรมสูงส่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น คือ อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค


                          ประกาศพระศาสนาครั้งแรก
การแสดงปฐมเทศนา วันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือนอาสาฬหะ (เดือน ๘) ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน พระพุทธเจ้าเสด็จไปหาปัญจวัคคีย์ พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ เรียกว่า ธรรมจักกัปวัตนสูตร ในขณะที่ทรงแสดงธรรมนั้น ท่านโกณฑัญญะได้ธรรมจักษุ คือ พระโสดาบัน ได้ทูลขออุปสมบท ในพระธรรมวินัยของสัมมสัมพุทธเจ้า เรียกการบวชครั้งนี้ว่า "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" พระอัญญาโกณฑัญญะ จึงเป็นพระภิกษุรูปแรกในพุทธศาสนา
 การประกาศพระพุทธศาสนา
เมื่อพระองค์ มีสาวกเป็นพระอรหันต์ ๖๐ องค์ และก็ได้ออกพรรษาแล้ว ทรงพิจารณาเห็นสมควรว่า จะออกไปประกาศศาสนา ให้เป็นที่แพร่หลายได้แล้ว พระองค์จึงเรียกประชุมสาวกทั้งหมด แล้วตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย เราได้พ้อนจากบ่วงทั้งปวงทั้งชนิดที่เป็นทิพย์ และชนิดที่เป็นของมนุษย์แล้ว แม้ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน เราทั้งหลายจงพากันจาริกไปยังชนบททั้งหลาย เพื่อประโยชน์และความสุขแก่มหาชนเถิด อย่าไปรวมกันทางเดียวถึงสองรูปเลย จงแสดงธรรมให้งาม ทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ เถิด จงประกาศพรหมจรรย์ อันบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง สัตว์ทั้งหลายที่มีกิเลสเบาบางนั้นมีอยู่ เพราะโทษที่ไม่ได้ฟังธรรม ย่อมจะเสื่อมจากคุณที่จะพึงได้ถึง ผู้รู้ทั่วถึงธรรมคงจักมีอยู่ แม้ตัวเราก็จะไปยังอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อแสดงธรรมเช่นกัน "

พระองค์ทรงส่งสาวกออกประกาศศาสนาพร้อมกันทีเดียว ๖๐ องค์ ไป ๖๐ สาย คือ ไปกันทุกสารทิศทีเดียว แม้พระองค์เองก็ไปเหมือนกัน ไม่ใช่แต่สาวกอย่างเดียวเท่านั้น นับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของบุคคลที่จะเป็นผู้นำทีเดียว

            สาวกทั้ง ๖๐ องค์เมื่อได้รับพุทธบัญชาเช่นนั้น ก็แยกย้ายกันไปประกาศศาสนาตามจังหวัด อำเภอ และตำบลต่างๆ ทำให้กุลบุตรในดินแดนถิ่นฐานต่าง ๆ เหล่านั้น หันมาสนใจมากเลื่อมใสมากขึ้น บางคนขอบวช แต่สาวกเหล่านั้นยังให้บวชเองไม่ได้ จึงต้องพากุลบุตรเหล่านั้นมาเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อให้พระองค์บวชให้ ทำให้ได้รับความลำบากในการเดินทางมาก ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงอนุญาต ให้สาวกเหล่านั้นอุปสมบทกุลบุตรได้ โดยโกนผมและหนวดเคราเสียก่อน แล้วจึงให้นุ่งห่มผ้าย้อมด้วยน้ำฝาด นั่งคุกเข่าพนมมือกราบภิกษุแล้วเปล่งว่าจาว่า "ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นสรณะ ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ" รวม ๓ ครั้ง การอุปสมบทนี้เรียกว่า "ติสรณคมนูปสัมปทา" คือ อุปสมบทโดยวิธีให้ปฏิญญาณตนเป็นผู้ถึงสรณคมน์

            ตั้งแต่พรรษาที่ ๑ ที่พระองค์ได้สาวกเป็นพระอรหันต์จำนวน ๖๐ องค์แล้ว พระองค์ก็ได้อาศัยพระมหากรุณาคุณ ทำการประกาศเผยแผ่คำสอน จนได้สาวกเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เป็นพุทธบริษัท ๔ ขึ้น อย่างแพร่หลายและมั่นคง การประกาศศาสนาของพระองค์ ได้ดำเนินการไปอย่างเข้มแข็ง โดยการจาริกไปยังหมู่บ้าน ชนบทน้อยใหญ่ ในแคว้นต่าง ๆ ทั่วชมพูทวีปตลอดเวลาอีก ๔๔ พรรษาคือ พรรษาที่ ๒ - ๔๕ ดังนี้

พรรษาที่ ๒ เสด็จไปยังเสนานิคมในตำบลอุรุเวลา ในระหว่างทางได้สาวกกลุ่ม ภัททวคคีย์ ๓๐ คน และที่ตำบลอุรุเวลาได้ ชฎิล ๓ พี่น้อง คือ อุรุเวลกัสสปะ นทีกัสสปะ และ คยากัสสปะ กับศิษย์ ๑,๐๐๐ คน เทศนาอาทิตตปริยายสูตร ที่คยาสีสะ เสด็จไปยังราชคฤห์แห่งแควว้นมคธ กษัตริย์เสนิยะพิมพิสาร ทรงถวายสวนเวฬุวัน แด่คณะสงฆ์ ได้สารีบุตร และโมคคัลลานะเป็นสาวก อีก ๒ เดือนต่อมาเสด็จไปยังกบิลพัสดุ์ ทรงพำนักที่ นิโครธาราม ได้สาวกมากมาย เช่น นันทะ ราหุล อานนท์ เทวทัต และพระญาติอื่นๆ อนาถปิณฑิกะเศรษฐี อาราธนาไปยังกรุงสาวัตถี แห่งแคว้นโกศล ถวายสวนเชตวันแต่คณะสงฆ์ ทรงจำรรษาที่นี่

            พรรษาที่ ๓ นางวิสาขาถวายบุพพาราม ณ กรุงสาวัตถี ทรงจำพรรษาที่นี่
พรรษาที่ ๔ ทรงจำพรรษาที่เวฬุวัน ณ กรุงราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ
พรรษาที่ ๕ โปรดพระราชบิดาจนได้บรรลุอรหัตตผล ทรงไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่าง พระญาติฝ่ายสักกะ กับพระญาติฝ่ายโกลิยะเกี่ยวกับการใช้น้ำ ในแม่น้ำ โรหิณี ทรงบรรพชาอุปสมบทพระนางปชาบดีโคตมี และคณะเป็นภิกษุณี
พรรษาที่ ๖ ทรงแสดงยมกปาฏิหารย์ในกรุงสาวัตถีย์ ทรงจำพรรษาบนภูเขามังกลุบรรพต


พรรษาที่ ๗ ทรงเทศนาและจำพรรษาที่กรุงสาวัตถี ระหว่างจำพรรษาเสด็จขึ้นไปยังสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์ โปรดพุทธมารดาด้วยพระอภิธรรม
พรรษาที่ ๘ ทรงเทศนาในแคว้นภัคคะ ทรงจำพรรษาในสวนเภสกลาวัน
พรรษาที่ ๙ ทรงเทศนาในแคว้นโกสัมพี

พรรษาที่ ๑๐ คณะสงฆ์แห่งโกสัมพีแตกแยกกันอย่างรุนแรง ทรงตกเตือนไม่เชื่อฟัง จึงเสด็จไปประทับ
และจำพรรษาในป่าปาลิเลยยกะ มีช้างเชือกหนึ่งมาเฝ้าพิทักษ์ และรับใช้ตลอดเวลา
พรรษาที่ ๑๑ เสด็จไปยังกรุงสาวัตถี คณะสงฆ์แห่งโกสัมพีปรองดองกันได้ ทรงจำพรรษาในหมู่บ้านพราหมณ์ชื่อ เอกนาลา
พรรษาที่ ๑๒ ทรงเทศนาและจำพรรษาที่เวรัญชา เกิดความอดอยากรุนแรง
พรรษาที่ ๑๓ ทรงเทศนาและจำพรรษาบน ภูเขาจาลิกบรรพต

พรรษาที่ ๑๔ ทรงเทศนาและจำพรรษาที่กรุงสาวัตถี ราหุลขอบรรพชาอุปสมบท
พรรษาที่ ๑๕ เสด็จไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ สุปปพุทธะถูกแผ่นินสูบเพราะขัดขวางทางโคจร
พรรษาที่ ๑๖ ทรงเทศนาและจำพรรษาที่ อาลวี
พรรษาที่ ๑๗ เสด็จไปยังกรุงสวัตถี กลับมายังอาลวีและทรงจำพรรษาที่กรุงราชคฤห์
พรรษาที่ ๑๘ เสด็จไปยัง อาลวี ทรงจำพรรษาบน ภูเขาจาลิกบรรพต
พรรษาที่ ๑๙ ทรงเทศนาและจำพรรษาที่บน ภูเขาจาลิกบรรพต
พรรษาที่ ๒๐ โจร องคุลีมาลย์ กลับใจเป็นสาวก ทรงแต่งตั้งให้พระอานนท์ รับใช้ใกล้ชิดตลอดกาล ทรงจำพรรษาที่กรุงราชคฤห์ ทรงเริ่มบัญญัติวินัย
พรรษาที่ ๒๑ - ๔๔ ทรงยึดเอาเชตวัน และบุพพารามในกรุงราชคฤห์ เป็นศูนย์กลางการเผยแพร่ และเป็นที่ประทับจำพรรษา เสด็จพร้อมสาวก ออกเทศนาโปรดเวไนยสัตว์ตามแว่นแคว้นต่าง ๆ โดยรอบ
พรรษาที่ ๔๕ และสุดท้าย พระเทวทัต คิดปลงพระชนม์ กลิ้งก้อนหิน จนเป็นเหตุให้พระบาทห้อโลหิต ทรงได้รับการบำบัดจากหมอชีวก

             
ทรงปรินิพาน
 การเสด็จปรินิพพาน หลังจากพระพุทธเจ้าแสดงปัจฉิมโอวาท ซึ่งวันนั้นตรงกับวันเพ็ญเดือนวิสาขะ (เดือน ๖) ในยามสุดท้ายของวันนั้น ณ ป่าไม้สาละ(สาลวันอุทยาน) ของกษัตริย์มัลละ กรุงกุสินารา พระองค์ได้ประทับใต้ต้นสาละคู่ หลังจากตรัสโอวาทให้แก่พระอริยสงฆ์แล้ว พระองค์มิได้ตรัสอะไรอีกแล้วเสด็จปรินิพพาน ด้วยพระอาการสงบ ซึ่งเป็นที่น่าอัศจรรย์นัก ที่วันประสูติ วันตรัสรู้ และวันปรินิพพานของพระพุทธเจ้าตรงกัน คือ วันเพ็ญเดือน ๖


นิพพานต้อนรับและรอคอยผู้ต้องการจะขวนขวายความพ้นทุกข์เสมอ
พระพุทธองค์ยังไม่ปรินิพพาน  พระธรรมวินัย คือ ศาสดา แทนพุทธองค์


อุตฺตมสาโร ภิกขุ




























สายฝน แห่งชีวิต ปล่อยความทุกข์ กังวลไหลไปตาม สายน้ำ ไม่ยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวาง





ใบไม้ร่วงโรย ชีวิตล่วงเลย แต่ใจไม่ร่วงหล่น