จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สาเหตุของความฝันจากพระไตรปิฎก คนเราทำไมจึงฝัน

เหตุแห่งความฝัน



ในคัมภีร์ทางศาสนา  ได้กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้คนเราฝันไว้  ๔  ประการ  คือ

              ๏ ธาตุโขภะ  คือ ธาตุในร่างกายกำเริบปั่นป่วน หรือเกิดจากความผิดปกติทางร่างกาย  อันมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของธาตุในร่างกาย ความฝันเช่นนี้มักจะเกิดขึ้นเมื่อนอนผิดท่าหรือป่วยเป็นไข้ไม่สบาย จนบางครั้งทำให้นอนละเมอเพ้อพกจับไม่ได้ศัพท์เหมือนคนขาดสติ เรื่องที่ฝันมักเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความน่ากลัวต่างๆ   อย่างฝันว่าตกจากภูเขาหรือตกจากที่สูงลอยไปในอากาศเหมือนเหาะได้  ถูกภูตผีปีศาจ ยักษ์มารวิ่งไล่  ถูกสัตว์ร้าย เช่น เสือ ช้าง หรือโจรผู้ร้ายวิ่งไล่ฆ่าฟัน เป็นต้น ในขณะที่วิ่งหนีมีความรู้สึกว่าวิ่งได้ช้ามาก ช้าจนบางครั้งเราต้องกระโดดสองขาแทนวิ่งเพื่อหนีจากสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวนั้น พอตื่นก็เหนื่อยแทบขาดใจ  เหมือนวิ่งมาด้วยความเร็วหลายสิบกิโลเมตร

              ๏ อนุภูตปุพพะ   คือ  ฝันเนื่องมาจากอารมณ์ที่ได้ประสบมา  ความฝันชนิดนี้น่าจะเกิดจากจิตที่หมกมุ่นครุ่นคิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ประสบมาในชีวิตประจำวัน     เช่น   ประสบเหตุการณ์บางอย่างมา   จิตจะเก็บเหตุการณ์นั้นไว้  แล้วกลายเป็นความฝันแม้บางครั้งเรามีความรู้สึกว่าลืมเหตุการณ์นั้นไปนานแล้ว แต่จิตยังคงเก็บเหตุการณ์นั้นไว้ในจิตใต้สำนึก เพียงแต่รอเวลาแสดงออกเท่านั้น เมื่อเหตุการณ์นั้นมาปรากฏในความฝันจึงทำให้นึกขึ้นได้ทันที อารมณ์นั้นอาจเป็นอารมณ์ที่เราประสบมาช้านานหรือเพิ่งจะผ่านไปในวันนั้นแล้วเก็บเอามาคิดรำพึงจนหลับไปก็ได้

              ๏ เทวตูปสังหรณ์  คือ ความฝันที่เทวดานำมาเป็นสาเหตุที่จะบอกเล่าเรื่องราวหรือเหตุการณ์บางอย่างให้ผู้ฝันรับรู้  

ความฝันนั้นอาจเป็นต่างๆ ตามอำนาจการบันดาลของเทวดา  ถ้าเทวดารักใคร่ปรารถนาจะให้การคุ้มครองรักษาและหวังประโยชน์  จะบันดาลให้ฝันดีและเป็นผลในทางที่ดี  การที่จะฝันดีและเป็นผลดีตามอำนาจของเทวดานั้น ผู้ฝันต้องเป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายด้วย 

การจะเป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายก็ต้องเป็นผู้มีทาน คือการให้ปันสิ่งของตามโอกาส  มีศีล คือความสะอาดกายสะอาดวาจา ความสงบเสงี่ยมอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่หยาบกระด้างก้าวร้าว  อวดดื้อถือดี ดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่น และมีธรรมอันงาม คือหมั่นฝึกหัดขัดเกลาจิตใจให้สะอาดผ่องแผ้ว

คัมภีร์ทางศาสนากล่าวว่า ผู้มีศีลมีธรรมอันงามย่อมเป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย  ผู้มีศีลมีธรรมงามอย่าว่าแต่มนุษย์เลยที่รัก  แม้เทพเทวาทั้งหลายก็ชื่นชมต่อการปรากฏตัวของเขา

               ๏ บุพนิมิต  คือ  ลางที่บอกเหตุขึ้นก่อน  เป็นความฝันที่เกิดด้วยอำนาจบุญกุศล  และอำนาจบาปกรรม  หรือเป็นบุพนิมิตแห่งการที่จะต้องเสวยผลแห่งบุญกุศลซึ่งเป็นฝ่ายดี  และเป็นบุพนิมิตแห่งการที่จะต้องเสวยผลแห่งบาปกรรมซึ่งเป็นฝ่ายชั่ว   

ความฝันที่เรียกว่าบุพนิมิตเป็นผลสืบเนื่องมาจากอำนาจบุญ    และบาปที่คนๆ    นั้นได้สั่งสมอบรมและกระทำไว้มาบันดาลให้ปรากฏเป็นลางบอกเหตุ พูดง่ายๆ ถึงเวลาที่บุญหรือกรรมจะให้ผลก็จะนิมิตให้รู้ล่วงหน้า ทั้งสองอย่างล้วนเป็นนิมิตที่ปรากฏให้ทราบล่วงหน้า

ท่านกล่าวว่า ความฝันชนิดธาตุโขภะและอนุภูตปุพพะ ไม่ควรเชื่อถือ ท่านปฏิเสธว่าไม่เป็นจริง เพราะสติไม่อยู่ในสภาพปกติ  ความฝันชนิดเทวตูปสังหรณ์เป็นจริงบ้างไม่จริงบ้าง  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเทวดาผู้มาเข้าฝันเป็นตัวแปร

               ส่วนบุพนิมิตนั้น ท่านยืนยันอย่างแน่นอนลงไปเลยว่าเป็นความจริงตามที่ฝันทุกประการไม่คลาดเคลื่อน  และท่านให้ข้อสังเกตว่า ความฝันที่จัดว่าเป็นบุพนิมิตนั้นต้องปรากฏเฉพาะในเวลาค่อนรุ่งเท่านั้น ทั้งนี้เพราะเวลาหัวค่ำ เวลาเที่ยงคืนและเวลาปัจฉิมยามนั้น  เป็นเวลาที่ร่างกายกำลังเผาผลาญอาหาร ธาตุในร่างกายคนเราไม่ปกติเพราะต้องทำงาน จึงมีผลทำให้ความฝันคลาดเคลื่อนไม่แน่นอน ความฝันนั้นอาจจริงก็ได้ไม่จริงก็ได้  พูดง่ายๆ  ก็คือตั้งแต่หัวค่ำจนถึงหลังเที่ยงคืนธาตุในร่างกายยังทำงานอยู่  แต่เวลาค่อนรุ่งเป็นเวลาที่ร่างกายเผาผลาญอาหารเสร็จแล้วร่างกายอยู่ในสภาพปกติ ความฝันที่ปรากฏในช่วงนี้จึงเป็นจริงอย่างแน่นอน เพราะเป็นความฝันที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอิทธิพลของร่างกาย   แต่เป็นความฝันที่ปรากฏเพราะอำนาจบุญกุศล และอำนาจบาปกรรมของผู้นั้น ถ้าด้วยอำนาจบุญกุศลก็จะฝันดีและมีผลดี  ถ้าด้วยอำนาจบาปกรรมก็จะฝันร้ายและมีผลร้ายด้วย   ความฝันชนิดบุพพนิมิตจะไม่มี  "ฝันร้ายกลายเป็นดี" หรือ "ฝันดีกลายเป็นร้าย"  ถ้าฝันร้ายก็จะมีผลร้าย ฝันดีก็จะมีผลดี  ท่านจึงให้ข้อสังเกตไว้ว่า  ถ้าฝันในเวลาค่อนรุ่งให้พึงสันนิษฐานว่าเป็น "บุพนิมิต"  แห่งอำนาจบุญ หรือบาปที่ปรากฏแก่เราล่วงหน้า

             นอกจากนั้น ท่านยังได้แสดงอาการที่จิตของคนเราจะเข้าสู่ภาวะความฝันไว้ว่า   ถ้านอนหลับสนิทจะไม่ฝัน  ตื่นอยู่ก็ไม่ฝัน  แต่เวลาที่ฝันเป็นเวลาที่จิตกำลังอยู่ในช่วงหลับเหมือนการหลับของลิง   คือหลับๆ ตื่นๆ  หรือครึ่งหลับครึ่งตื่นนั่นเอง



ที่มาจากหนังสือ ลูกผู้ชายต้องบวช ผู้แต่ง ญาณวชิระ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ยินดีต้อนรับความคิดเห็นดีๆ ติชมบทความตามพอเหมาะ

สายฝน แห่งชีวิต ปล่อยความทุกข์ กังวลไหลไปตาม สายน้ำ ไม่ยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวาง





ใบไม้ร่วงโรย ชีวิตล่วงเลย แต่ใจไม่ร่วงหล่น