จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554

เรื่องสั้น ตื่นลึกแห่งธรรม คำถามของชีวิต


ตื้นลึกแห่งธรรม สาระแห่งชีวิต

        ตะวันบ่ายคล้อยไปสู่ทิศตะวันตก  สายลมพลิ้วไหวอยู่รอบกาย  ใบของต้นมะพร้าวล้อลมเหมือนระริ้วคลื่น  นกสองตัวบินวนรอบต้นมะขามก่อนจะบินร่อนไป  เสียงเณรโตกับเณรแมวโต้เถียงกันดังปรัชญาของผู้ใหญ่แว่วมาให้หลวงตาได้ยินว่า          “เมฆบังตะวัน  แต่เรายังรู้สึกร้อน”

เณรแมว      อาจเป็นเพราะเมฆยังหนาไม่พอ

เณรโต                เมฆมีหนาบาง  ใจคนมีบางมีหนาไหม?  ถ้าใจคนมีบางมีหนา เอาอะไรไปวัด

เณรแมว      “ไม่รู้”  รู้แต่ว่าเมฆอยู่ใกล้พระอาทิตย์ไม่เจ็บปวด  ทั้งไม่ร้อนรน  แต่มนุษย์เราสิอยู่ก็ไกลพระอาทิตย์  นั่งอยู่ในชายคาแต่ก็เอาพระอาทิตย์ที่อยู่นอกกายมาให้ใจร้อนรน

เณรโต               “ใช่ของเณร”  งั้นเราไปถามหลวงตาดีกว่าว่า  “ใจคนมีหนาบางเอาอะไรวัด”  แล้วสามเณรทั้งสองก็ขึ้นไปบนศาลาที่หลวงตานั่งอยู่  ทั้งสองก้มลงกราบหลวงตา  ก่อนที่จะถามปัญหาคาใจกับหลวงตา  รถเก๋งสีขาวก็วิ่งมาหน้าศาลา  จอดสนิทแล้ว  หญิงวันกลางคนสองคนเดินลงจากรถ  ขึ้นมาหาหลวงตา  สามเณรทั้งสองจึงขยับหลีกไปนั่งข้างหลังหลวงตา  หญิงทั้งสองก้มกราบหลวงตา  บอกกับหลวงตาว่าเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทั้งสองจบปริญญาโท  กำลังศึกษาต่อปริญญาเอก  อยากมาถามปัญหาและฟังธรรมอันลึกซึ้ง

        หลวงตาถามว่าต้องการฟังธรรมอย่างลึกซึ้งหรือ  อย่าพึ่งรีบเลย ควรจะต้องปูพื้นฐานก่อน  เหมือนเราจะเดินลงทะเลที่ลึกได้  ก็ต่อเมื่อเราได้เดินลงชายทะเลในที่ตื้นๆ  ก่อน  เรื่องของธรรมะไม่ใช่จะกระโดดปุ๊ปแล้วมันก็จะไปสู่ที่ลึกได้  เพราะฉะนั้นขอปูพื้นก่อน  เผื่อบางคนไม่มีฐานจะลำบาก  จึงจะขอเล่านิทานให้ฟังก่อน

        ปรากฏว่าอาจารย์ปริญญาโทโมโหมาก  บอกว่าดิฉันไม่ใช่เด็กนะ  จะได้มาเล่านิทานให้ฟัง  ความรู้ของดิฉันระดับปริญญาทั้งคู่นะ  เธอหาว่าหลวงตาดูถูก

        หลวงตาก็เลยบอกว่า  โยม  คนเรานั้นไม่ได้โตที่เนื้อหนัง  ไม่ได้โตที่ร่างกาย  คนที่จะโตมีความรู้ดีได้ต้องรู้จักข่มจิตข่มใจเมื่อคำพูดไม่พอใจมากระทบหู  เขาจึงจะเรียกว่าคนโต  คนใหญ่  แต่ใครก็ตามที่กระทบอารมณ์ไม่พอใจนิดเดียวแล้ววูบวาบหรือหวา  มีอาการโกรธง่าย  โมโหง่ายอย่างนี้  ไม่เรียกว่าผู้ใหญ่หรอก  เพราะเป็นอารมณ์ของเด็ก  กระทบอะไรไม่พอใจก็หงุดหงิดโกรธง่ายเหมือนกับเด็ก  ดูเมฆก้อนนั้นสิโยมมันถูกแสงอาทิตย์แผดเผา และตัวมันก็บดบังแสงอาทิตย์  ถามว่า  มันเจ็บมันปวดมันโกรธกันและกันไหม  ...!   มันทั้งสองสิ่งต่างทำหน้าที่  ทำหน้าที่โดยไม่กระทบตนกระทบคนอื่นผสานกันบ้าง  เมื่อถึงเวลาก็มีการ  พลัด   พราก   พบ  ต่างคนต่างทำหน้าที

        หลวงตาบอกว่าที่ทำไปเป็นการปูพื้นฐานกันจะรับเรื่องธรรมะลึกๆ  ได้ไหม  เพียงพูดแค่คำตื้นๆ  แค่สองสามคำเท่านั้นก็โกรธ  แล้วหลวงตาก็บอกว่าเรื่องธรรมะนั้นมันก็ไม่มีลึกไม่มีตื้นหรอกมีแต่ความเข้าใจ 

        เรื่องของธรรมะก็คือเรื่องที่ทำให้ราคะ  โทสะ  โมหะ  เบาบางลง  นี้ไม่เบาเลย  มาถึงก็พรึบใส่หลวงตา  ดีที่หลวงตามีสามเณรอยู่ข้างๆ  ไม่งั้นหลวงตาแย่  ท่านพูดยิ้มๆ  พลอยทำให้เณรทั้งสองพลอยยิ้มไปด้วย  ปลูกบ้านเริ่มจากก่ออิฐ  ปลูกความรู้เริ่มจาการศึกษาเรื่อง  ปลูกธรรมะเริ่มจากสัมมาทิฏฐิ  (ความเห็นที่ถูกต้อง)

        การได้ปริญญานั้นต้องระวังให้ดี  ทางพระพุทธศาสนาเขาถือว่าความสิ้นไปแห่งควากอยาก  ความโกรธ  ความหลง  จึงจะเรียกว่าได้ปริญญาชีวิต  แต่ถ้าคนไหนได้ปริญญาหรือประกาศนียบัตรอะไรมากมาย  แต่เต็มไปด้วยความอยากได้  ความโกรธ  ความหลง  ก็ยังถือว่าได้แต่ประกาศนียบัตรกระดาษเท่านั้น

        ปริญญาทางพุทธศาสนาคือความสิ้นไปแห่งตัณหาทั้งหลาย  แต่ถ้าเราได้ทั้งสองอย่างก็ดี  ปริญญาทางโลกเราก็ได้จบรัฐศาสตร์  จบกฎหมาย  จบปริญญาโท  ปริญญาเอกยิ่งดี  ที่เราจบปริญญาทางโลกก็เพื่อให้เราสะดวกสบายในการหาเลี้ยงชีพ  และได้ปริญญาทางธรรมะซึ่งจะทำให้จิตเราสงบเย็น

        คนเรานั้นควรจะได้รับทั้งสองอย่าง

คือหนึ่ง  ได้รับวัตถุมาทำให้ร่างกายได้รับความสบายสบายเหมือนการกินอาหาร  ประกอบอาชีพได้มาจากความรู้

และสอง  ได้ธรรมะมาประโลมจิตใจให้สงบเย็น  ไม่ว่าแดด  ฝน  ลม  หนาว  ผ่านเข้ามาในชีวิตก็สงบเย็นได้

        ถ้าความสะดวกสบายบวกกับความสงบเย็นทางจิตใจ ชีวิตก็ถือว่าสงบเย็น  ถ้ามีแต่ความสะดวกสบายแต่ขาดความสงบเย็นทางจิตใจ  มีแต่ความเร่าร้อนมันก็ได้เพียงส่วนเดียว

        ท่านหันไปคุยกับเณร  การจะวัดคนทางจิตใจนั้นควรวัดที่คุณธรรมที่พวกเจ้าทั้งสองโต้เถียงกันนั้น  วัดคนดีด้วยคุธรรมสองประการคือ

๑.        หิริ                ความละอายแก่ใจ.

๒.        โอตตัปปะ      ความเกรงกลัว.

หรือ เรียกว่าธรรมคุ้มครองโลก หรือ ธรรมเป็นโลกบาล ?

ธรรมคุ้มครองมนุษย์โลก ให้คงเป็นสังคมมนุษย์อยู่ได้

คนที่มี หิริ ?       ความละอายแก่ใจในขณะกำลังจะทำชั่ว ทั้งทางกาย วาจา ใจ รู้สึกขยะแขยงใจไม่กล้าทำความชั่ว  เรียกว่า หิริ 

วัดขันติด้วย  โอตตัปปะ ?

        ความเกรงกลัวต่อบาปทุจริต คิดเห็นภัยที่เกิดจากการทำความชั่ว เรียกว่า  โอตตัปปะ

เณรรู้ไหมว่า ทำไม ท่านจึงเรียกว่า ธรรมสำหรับคุ้มครองโลก ?

เณรทั้งสองตอบว่า  ไม่ทราบครับหลวงตา

หลวงตาจึงพูดช้าชัดว่า       พราย่อมคุ้มครองโลกให้อยู่กันด้วยความรัก สามัคคี ไม่มีความอาฆาตพยาบาทปองร้ายกันและกัน ทำให้การเป็นอยู่ร่วมกัน มีความสงบสุขร่มเย็น ”

เพราะมีธรรมเป็นผู้คุ้มครอง  คือ  หิริ  โอตตัปปะ เป็นผู้คุ้มครอง ส่วนคำว่า  โลก  นั้นหมายเอาหมู่สัตว์ที่อาศัยแผ่นดินทั้งหมด  หมายเอาทวีปหลาย ๆ ทวีปมารวมกัน

        เมฆก็มีหนา  มีบางด้วยสภาพของธรรมชาติที่เกื้อกูลสรรพชีวิต  คนมีรวมตัวแล้วแตกแยก  แต่นั้นหาใช่สาระไม่

        เกิดมามีชีวิตหนึ่งควรเก็บสาระของชีวิตให้คนอื่นได้ชื่นชม  ให้คนอยู่ด้วยตรงหน้าสบายใจ  ให้คนจากไปอาลัยหาในความดีของตน

การภาวนาหรือการเรียนรู้ขณะย่างก้าวของชีวิตจะสอนเราให้เปลี่ยนแปลงหันมาใส่ใจดูชีวิตจิตใจด้านใน  ซึงถูกละเลยมาโดยตลอดยามเราเผลอสติอย่าเป็นดังแมลงเม่า  กับนกเค้าแมว

.............................................................................

        แมลงเม่าบินเข้ากองไฟ  คือการปลิดชีวิตตัวเองด้วยความไม่รู้เท่าทัน

        ส่วนนกเค้าแมวกินหนูเน่าก็คือ  การประจานตนเอง

        มนุษย์เราวุ่นวายอยู่กับเงินทอง  ชื่อเสียง  เกียรติยศนั้น  ก็เท่ากับหาความลำบากใส่ตัว  เพราะการวุ่นวายอยู่กับการหาเงิน  หาประโยชน์  จะทำให้สูญเสียความเกษมสำราญแห่งการปล่อยวางไปสิ้น

        อาจารย์ทั้งสองกราบลงด้วยจิตใจที่ปล่อยวางได้  หลวงตาให้ศีลให้พร  และเตือนให้สามเณรไปธุระของตนก่อนทำหน้าทีอันเป็นกิจวัตรของตน  สายลมเย็นๆ  พัดไหวกายเบาๆ  เสมือนกาลเวลาผ่านพ้นกลืนกินเวลาชั่วขณะให้ผ่านเลยไปอีกครั้ง....
                                                             ที่มา จากชมรมลานความคิด ดีมากๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ยินดีต้อนรับความคิดเห็นดีๆ ติชมบทความตามพอเหมาะ

สายฝน แห่งชีวิต ปล่อยความทุกข์ กังวลไหลไปตาม สายน้ำ ไม่ยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวาง





ใบไม้ร่วงโรย ชีวิตล่วงเลย แต่ใจไม่ร่วงหล่น