จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554

มองแง่ดี คลายทุึกข์ เข้าใจธรรม ในสถานการณ์น้ำท่วม

 เพลง กำลังใจ 
มองแง่ดี  ในสถานการณ์น้ำท่วม มองให้ลึก คิดให้ไกล มองเห็นความจริง

        1.เห็นคนไทยสามัคคีกัน ช่วยเหลือ ในด้านกรุณา แบ่งเบาความทุกข์
  เห็นคนไทยในต่างจังหวัดและทั้งผู้เดือดร้อน และไม่เดือดร้อน มีความเมตตา  แม้บางคนไม่ได้ช่วยด้วยเงิน แต่ให้กำลังใจ ส่งจิตใจ ที่เห็นใจต่อกัน
   2.หน่วยงานต่างๆได้มาร่วมมือ ร่วมใจ กันทำงาน อย่างไม่มีอคติ แบ่งพรรคแบ่งพวก และทำกันอย่างเต็มกำลัง แม้ตัวเจ้าหน้าที่เอง จะประสบภัย เดือดร้อน เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ(อยากให้เป็นอย่างนี้ ในทุกกรณี ในเหตุการณ์ต่างๆ เป็นภาพที่เราไม่ได้เห็นนานแล้ว)
  
3.เห็นความเสียสละ ของคนไทยหลายๆกลุ่ม หลายบทบาท ทั้ง นักเรียน นักศึกษา ดารา ศิลปิน และคนไทยที่มีจิตอาสา ยอมสละเวลา ลดความเห็นแก่ตัว เพิ่ม จิตใจที่ประเสริฐ มากขึ้น ช่วยแรง ช่วยทรัพย์ ช่วยน้ำใจ หลายอย่างๆ

4.ได้เรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาล่วงหน้า และเฉพาะหน้า เรียนรู้ใช้การมีประสิทธิภาพของตนเอง ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร ให้อยู่ได้ในเหตุการณ์ที่ไม่แน่นอน  ความสามารถคุณ สติปัญญา ความรู้ ความฉลาด ได้เอาออกมาใช้บ้าง

5.ได้ร่วมกันตระหนักถึงอนาคตล่วงหน้าหลังจากเหตุการณ์นี้ผ่านไป ว่าควรจะแก้ปัญหาระยะยาวอย่างไร ที่ไม่ให้เหตุการณ์เหล่านี้ซ้ำรอยอีก

6.ได้หวลคิดถึงทรัพยากรป่าไม้ อากาศ ดิน น้ำ ที่ครั้งก่อน เคยมีอย่างสมบูรณ์ สมดุลกับระบบธรรมชาติฤดูกาล ก่อนที่จะไม่ถูกทำลาย ด้วยฝีมือมนุษย์ และสิ่งเทคโนโลยีสมัยใหม่ (มีคนคิดบ้างล่ะ ว่าภัยธรรมชาติเกิกจาก ต้นเหตุอะไร) และตระหนักเห็นความสำคัญในการฟื้นฟูธรรมชาติให้กลับมา

7.ได้เรียนรู้เวทนา จากความทุกข์ที่ประสบ เศร้าโศก ห่วง ยึด เครียด สับสน  ล่องลอย  บางคนก็มีโกรธ เกลียด แค้น พูดง่ายว่า มีอารมณ์ ที่ทำให้ใจ ทนสภาพไม่ได้  จะเห็นมองลึกว่า ความยึดมั่น ถือมั่น ที่มีมากมาย ถึงคราวมันหายไป มันทำให้เราทุกข์กับมันขนาดไหน ยึดมากมีมาก ทุกข์มาก   ยึดน้อย มีน้อย ทุกข์น้อย เห็นความทุกข์ว่านี้มันเกิดจากสาเหตุใด
8.ทำให้คนไทยได้เห็นความสำคัญ ของ คนไทยด้วยกัน ในการช่วยเหลือ แม้แต่ผู้สูงอายุ แม้คนพิการ จนกระทั้ง พวกสัตว์เลี้ยง เขาก็มองว่า มีชีวิต จิตใจ ที่ต้องช่วย เช่นกัน คนไทยไม่ทิ้งกัน
9.ได้มองเห็น กิเลศ ความเห็นแก่ตัวของคน ที่คอยซ้ำเติม ผู้เดือดนร้อน เช่น พวกโจร  พวกแย่งอาหาร พวกฉวยโอกาสกอบโกยสิ่งของเพื่อตัวเอง  พวกด่าทอ ด้วยความเกลี้ยวกลาดในการแย่งอาหาร เราจะได้เห็นว่า เราจะไม่ทำอย่างนั้น และกลัว กิเลศ     สิ่งแบบนั้น จะได้ห่างไกล ไม่กระทำการเห็นแก่ตัว ในการเบียดเบียนคนอื่นๆให้เดือดร้อน ใจเขา ใจเรา เขาเกลียดการเอาเปรียบจากคนอื่น  เช่นเดียวกับเรา ที่ไม่ชอบให้ใครเอาเปรียบ ในยามกรณีใดๆ
10.ได้มองเห็นสัจธรรมความจริงว่า สิ่งใดๆที่เรามีอยู่  และสร้างขึ้นมา นั้น ซักวันหนึ่ง หรือ วันนี้ วันนั้น ที่ผ่านมา มันไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป เปลี่ยนแปลง ไม่ใช้ของเรา ได้ เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และ จะได้ตอบต่อไปได้ ว่า สิ่งทั้งหลายที่ฉันมีอยู่สักวันหนึ่ง มันจะไม่ใช่ของเรา มันต้องหาย ต้องจาก กับเราไม่วันใดก็วันหนึ่ง เผื่อใจไว้ข้างหน้าในทุกสิ่ง เมื่อประสบกับความจริงในเหตุการณ์ที่มาถึงจะทำใจได้ ไม่ทุกข์ ไม่รำพึง เสียใจ คร่ำครวญกับมันมาก เกินไป จะได้สะสมสิ่งที่ถูกต้อง คือ บุญกุศล สิ่งนี้มันจะอยู่กับเรา ดั่งเงาตามตัว สู้ภพชาติหน้า ด้วย
11.เราจะได้มองเห็นว่า เราทุกคนที่เป็นคนไทย สมควรจะรักกันให้มากๆ แม้ความคิดเห็นที่แตกต่างกันเป็นธรรมดา แต่เราจะไม่ทะเลาะและใช้กำลังและคำ ด่าทอกัน ลองคิดดูเมื่อพวกเราที่ใดประสบภัย คนไทยในที่ต่างๆ ที่ทั้งไม่รู้จักเราด้วยซ้ำ เขายังมีใจช่วย สิ่งของบริจาค ไปมากมาย ทั้งเป็นเงินบริจาค สิ่งของเครื่องใช้ กระทั้งความรู้สึกกำลังใจที่ไปด้วยกระแสเมตตา ใต้น้ำท่วม ชาวเหนือ และภาคอื่นช่วย  ภาคอื่นประสบ พวกเรา ภาคนี้ก็ช่วย สิ่งเหล่านั้น พวกเราอาจไม่รู้ แต่เชื่อว่า ถ้าคนไทยมีเหตุการณ์ดังนี้แล้ว เราช่วยกัน เราหันมารักกันไม่เสียดีกว่าเหรอ ประเทศอื่นๆมันจะได้เกรงกลัว ความสามัคคีของคนไทยบ้าง มากกว่าที่เป็นอยู่   (สิ่งที่คิดนี้อาจเป็นได้ยาก แต่มีคนหลายกลุ่ม ที่เขาคิดแล้วกระทำ ดั่งคนที่เขาช่วยเหลือกัน ดั่งปัจจุบัน)
12.เราหนีสิ่งที่เผชิญไม่ได้ มันเกิดขึ้นแล้ว ทุกสิ่งเสียหายไปแล้ว เราสูญเสียไปแล้ว สิ่งสำคัญ คือ ชีวิตเรายังอยู่ ชีวิตคนที่เรารักยังอยู่ ให้เรายอมรับความจริง และสู้ต่อไป เพราะสิ่งที่เรารักที่สุด มันคือชีวิตเราไม่ใช้หรือ และเราจะไปนอนทุกข์ เสียดาย ให้กับสิ่งภายนอกนั้นทำไมกัน เพราะ สิ่งๆนั้น มันเป็นแค่ส่วนประกอบที่ทำให้เรามาตอบสนองพื้นฐานความรักชีวิตของเรา ด้วยไม่ใช้หรือ แสดงว่าชีวิตเรานี้สำคัญที่สุด   (พูดถึงทรัพย์ สิน ที่เป็นของนอกกาย ที่คนยอมตาย ไปกับมัน)

13.ได้เรียนรู้ว่า  อาหารที่มีตอนนี้ เรากินเพื่อประทังชีวิต ให้อยู่รอด ไม่ใช้เมื่อก่อนครั้งสบาย ที่เราอยู่เพื่อกิน สนองการกินอย่างไม่สิ้นสุด ได้เห็นคุณค่าแท้ของอาหารสักที   ได้เรียนรู้ว่า เสื้อผ้าที่เรานุ่งห่ม ตอนนี้ เป็นสิ่ง ป้องกันความหนาว เหลือบ ยุง ปกปิดร่างกาย ได้เห็นคุณค่าแท้ของเครื่องนุ่งห่ม   ก่อนครั้งที่เราสบาย เราแสวงหาหลงกับการแต่งตัวมากมาย ไม่สิ้นสุด     ได้เรียนรู้ว่า ตอนนี้ที่อยู่ ที่พักพิง ขอให้เป็นที่กำบัง ลม กำบังฝน กำบังน้ำ กำบังแดด เป็นที่ปลอดภัย  ที่หลบพักพิง  คือคุณค่า แท้ของที่อยู่อาศัย   ก่อนที่เราสบาย บ้านหรูหราใหญ่โต อวดมั่งอวดมี  ที่นอนกว้างใหญ่ นุ่มนวลสบาย  ติดความสบาย อยู่ที่ไหนได้อยาก เพราะยึด คุณค่าเทียม มากว่าคุณค่าแท้    เห็นไหมว่าทุกคนรักชีวิต แม้ถึงคราวป่วย พวกยาต่างๆที่บรรเทา เป็นสิ่งสำคัญทั้งสิ้น นี้ คือคุณค่าแท้ ของยา เมื่อก่อนครั้งเราสบาย เราหาสารพิษ สุรา บุหรี่ ยาเสพติด สิ่งอื่นๆมากมาย เพื่อทำร้ายตัวเราเอง พอถึงยามป่วยจริงเราทนไม่ได้ ก็ต้องพึ่งพายารักษาโรคจริงๆ
14.  ได้มองเห็นคุณค่า แท้ของ หลักธรรมที่ว่า สติ สัมปชัญญะ กันเสียที เวลาเดิน เวลากระทำอะไร จะไม่เสี่ยงในสิ่งหลายๆอย่าง  คือ ไม่ประมาท ในชีวิตนั้นเอง รู้ตัว รอบคอบ รู้ความรู้สึกตน รู้สึกตัว ตื่นตัว ไม่ใจลอย ระวังสติ ไม่ให้ ความทุกข์มาครอบงำจิตซ้ำเติมให้ใจเราทุกข์มากกว่าเดิมอีก
(ข้อสุดท้ายมีกี่คนที่มีศักยภาพพอที่ทำได้ หวังว่าคุณทำได้)


เป็นเรื่องที่ใครไม่อยากให้เกิด น้ำท่วม จนทำลายทรัพย์สิน ที่เราอุตส่าห์หามาตลอดชีวิตหรอก แต่นี้ คือ สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว และเราได้เผชิญ   หลายคน ต้องใช้เวลาทำใจไม่น้อย และคงต้องมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำให้คิดมาก ว่าต่อไป ตัวฉัน และครอบครัว จะดำเนินชีวิตกันต่อไปเช่นไร แต่ตราบใดที่เราเป็นมนุษย์ ที่ เราไม่เคยว่าตัวเอง โง่ ไม่เก่ง ไม่ฉลาด ไม่มีปัญญา ไม่มีความสามารถ และความรู้ เราหลายคนเคยคิดกันอย่างนั้น ขอให้ความคิดนี้จงกลับมา กลับมาเพราะมันเป็นสมบัติ ของเราที่มันไม่ได้จมไปกับน้ำ จงยกศักยภาพ เหล่านี้ ให้เป็นกำลังของพวกเราเถิด เพราะเราที่เคยมีหลายสิ่งหลายอย่างเมื่อก่อน เพราะศักยภาพเหล่านี้ไม่ใช้หรือ         ชีวิต นี้มันยังมีอยู่ ลมหายใจ เรายังมีถ้าจะยอมแพ้สิ้นหวัง ในการที่จะไม่คิด สู้ใหม่ เราสมควรอายคนที่เรารัก และคนอีกหลายคน ที่เขาประสบปัญหาบางอย่างที่เลวร้ายกว่าเราด้วยซ้ำ ในโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดที่เลวร้าย มากกว่า ใจเราที่ทำร้ายใจตัวเอง ขอให้นึกตอนนี้ว่า เราทำร้ายจิตใจตัวเองหรือเปล่า กำลังเศร้า เสียใจ กังวล เครียด หรือ ความรู้สึกใดๆที่ทำให้เราทุกข์ หรือ สิ้นหวัง จงถอนตัวออกมา และเปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่ ที่จะทำให้เราปล่อยวางความยึดมั่นในอารมณ์นั้นได้  สิ่งของมันหายไป เสียไป จากไป มันไม่ได้มีความรู้สึกนึกคิด จิตวิญญาณของมันที่จะต้องมาใส่ใจ เสียใจกับเราหรอก สิ่งที่เสียใจ คือ ตัวเราที่โง่ ให้กับสิ่งที่ไม่มีจิตวิญญาณกับสิ่งนั้นต่างหาก ขอให้คิด ว่า อย่าไปนอนโง่ ให้กับสิ่งไม่มีหัวจิตหัวใจอย่างนั้น เรามันจะบ้า ปราสาทเสียก่อน   ขอให้คิดว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง  ขอให้คิดว่า สักวันมันต้องผ่านไป ขอให้คิดว่า คนอื่นเขาก็เดือดร้อนเช่นเดียวกับเรา อาจเดือดร้อนกว่าเราด้วยซ้ำ  ขอให้คิดว่า เรายังมีเพื่อนมนุษย์ที่เขาไม่ทิ้งเรา เราก็ไม่ทิ้งเขาเช่นกัน   ขอให้คิดว่า ไม่ตายก็หาใหม่ได้     ขอให้คิดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ มันคือสิ่งไม่แน่นอน ไม่จีรังยั่งยืน ทั้งสิ้น มีมาและมีจากไป
ขอให้คิดว่า คนที่ฉลาดอย่างเรา จะไม่ยอมเสียใจให้กับสิ่งที่ผ่านมาแล้ว  มีหลายสิ่งที่เราต้องคิดในทางแง่ดีเพื่อปลอบใจตัวเอง และคนรอบข้างเข้าไว้ สิ่งที่เราคิดนี้แหละ ถ้าคิดไม่ฉลาดมันจะฆ่าเราทั้งวันทั้งคืน ถ้าคิดฉลาดในแง่คนมีปัญญา แง่ดี มันจะเยียวยาหัวใจเราเอง ไม่มีใครทำร้ายเราเท่ากับเราคิดแง่ร้ายและซ้ำเติมจิตใจตัวเอง     ขอเป็นกำลังใจให้    สิ่งใดที่เขียนผิด กล่าวผิด ในที่นี้ ขัดกับความรู้สึกของผู้อ่าน ขออภัยด้วย ไม่ได้มีเจตนาร้าย.
โดย ชัยวัฒน์ ทองพริก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ยินดีต้อนรับความคิดเห็นดีๆ ติชมบทความตามพอเหมาะ

สายฝน แห่งชีวิต ปล่อยความทุกข์ กังวลไหลไปตาม สายน้ำ ไม่ยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวาง





ใบไม้ร่วงโรย ชีวิตล่วงเลย แต่ใจไม่ร่วงหล่น