มหัศจรรย์ทางจิต ข้าพเจ้าเคยอ่านหนังสือของหลวงวิจิตรวาทการ ที่กล่าวเรื่อง ความมหัศจรรย์แห่งจิต อ่านครั้งแรก เมื่อตอนอยู่มัธยม ตอนนั้นเป็นคนที่ชอบสะสมเครื่องรางของขลังมาก โดยเฉพาะเรื่อง ที่เน้นคือ ป้องกันภัย เมตตามหานิยม แคล้วคลาด สารพัดที่หามาได้ และเพลิดเพลินกับมัน ไปที่โรงเรียนใครมีของดีอะไร ก็เอามาอวดกัน เพื่อนบางคนลงทุนไปหาอาจารย์สักเต็มหลัง ทั้งหนุมานเยียบเรือสำเภา สารพัดที่จะเอาความขลังเขาไปใส่ในตัว อย่างบ้าเวลาเขาสอบยังแขวนพระเครื่อง สี่ ห้ารูป ไปช่วยสอบด้วย บ้าไปกันใหญ่มาก เพราะตอนนั้นในพวกเรามันยังบ้าไม่รู้อะไร เป็นอะไร ก็เลยถือว่าเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะเพื่อนที่นัดกันเป็นกลุ่มไปสักยันต์ บางคนไม่ยากสักแต่ก็ต้องบ้าไปสักด้วย ไปสักวันเเรกมีบอกครูไหว้ครู และเลือกเอาว่าจะสักแบบอะไร ใช้นำหมึกจีนจิมไปตามรอยรูปแบบบนแผ่นหลัง ไอ้คนที่มันยากสักมันทนเจ็บได้ ส่วนไอ้คนไม่ยากสักและไอ้คนที่มีศรัทธาน้อย มันก็ต้องลองไปด้วย แต่สักได้แต่หัวลิงยอมแพ้ไม่ไหว้ สักได้แต่หนวดมังกร เลือดไหลซิบๆตามแผ่นหลัง ถอดใจ บอกลาอาจายร์ว่าเดียวค่อยต่อวันหลัง แล้วก็สูญไปเลย ไอ้เพื่อนที่เห็นเลือดและทนเจ็บไม่ไหวเป็นลม ต้อยคอยลากมันไปทำใจใหม่ สมัยนั้นถือว่าอย่างน้อยเราก็รู้จักพระเกจิหลายรูปแต่ข้าพเจ้าไม่เคยเดินทางไปพบหรอก รู้กันแต่ที่มาจากวัตถุมงคล ว่าเป็นของพระเกจิใด อาจารย์ใด เพื่อนมันบางคนเดินทางไปหาถึงที่ ครั้งในวัยนั้นจะไปไหนมาไหนก็ต้องมีที่พึ่งที่เป็นวัตถุ ต่อมาได้มีความเข้าใจ เรื่องเหล่านี้ ก็ได้อ่านหนังสือมหัศจรรย์แห่งจิต ของหลวงวิจิตร และบังเอิญได้ไปฟังธรรมบรรยาย ของหลวงพ่อปัญญานันทะ ที่ทำให้เราสะดุ้งคิดขึ้นมา ที่แก่กล่าวว่า "ไอ้ของศักดิ์สิทธิ ที่ว่าป้องกันภัย ไอ้เขี้ยวเสือ ไอ้เขี้ยวหมูตัน มันจะช่วยป้องกันอะไรได้ ขนาดไอ้หมูตัวนั้นมันยังเอาตัวไม่รอดเลย " หลังจากนั้นมันเกิดปัญญาฉุดคิดขึ้นมา ก็พยายาม ที่จะแสวงหาสิ่งที่พึ่งทางกำลังใจว่ามันต้องมีอะไรที่จะเป็นสิ่งดีกว่าเหล่านี้ แม้ช่วงนั้นก็ยังถอดจากสิ่งเหล่านั้นยังไม่ค่อยเต็มที่ ในความกลัวลึกๆที่ปถุชนมี ใจที่อ่อนแอ ด้วยการที่เราอยากมีสิ่งที่เป็นกำลังใจเรา จนถึงเวลาที่เราเยียบเหนือสิ่งเหล่านั้นได้ เมื่อตอนขึ้นปริญญา ตรี และเป็นช่วงปี ๔๙-๕๑ จตุคามดังมาก ในนครและมหาลัยมหามกุฏมันก็ตั้งอยู่ในวัดพระธาตุด้วยพิธีเสกนี้ทั้งวันทั้งคืนเลยทีเดียว คนมากมาย การเสกมีเกือบทุกวันไม่มีขาด จนเป็นข่าวว่าพระบรมธาตุทรุดเอียงเนื่องด้วยรถสิบล้อที่ขนจตุคามมาทำพิธีเสก ค่านิยมช่วงนั้นนครทุกเกือบพื้นที่ สร้างรายได้จากกระแสจตุคามได้หมด จนทางจังหวัดจะตั้งให้จตุคามเป็นสิ้นค้าโอทอปที่สร้างรายได้ให้กับนายทุน และผู้คนที่ได้โอกาสแสวงช่องทางเงินในครั้งนั้นทีเดียว ส่วนผมเมื่อเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เป็นอะไรๆ ก็ไม่เคยเหอสะสมแสวงหาเหมือนกับคนอื่นๆแม้แต่พระเครื่องอะไรๆหยุดสนใจในแง่ความศักดิ์สิทธิ์ไปเสียเลยทิ้งหมดแต่ถ้าจะเก็บไว้ มีจุดประสงศ์เดียวคือ มันคือเงินที่จะเพิ่มมูลค่ากำไรให้กับเราที่จะไปขายคนอื่นต่อ และคนอื่นนั้นก็เก็บต่อยอดเก็งกำไรไปขายต่ออีกทอดหนึ่ง จนคนสุดท้ายที่ให้ราคาสูงที่สุดและเก็บไว้บูชารูปปูนเล็กๆ(คุณอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่โง่ที่สุดเพราะไอ้คนก่อนจากนั้นมันฉลาดกว่าที่ได้เงินจากคุณตั้งมากมาย)เมื่อถึงเวลาบวชพระเราเริ่มอยู่กับตัวเองคือใจมันได้สงบ และได้แสวงหาธรรมเป็นที่พึ่งจากการอ่าน การฟังธรรมบรรยาย และศึกษากับจิตใจของตัวเราจนมองเห็นความจริงของความศักดิ์สิทธิ์ ที่ เราได้ฝากจิตฝากใจ ในความรู้สึกที่ว่าสิ่งเหล่านั้นมันเก่งกว่าเรา ในเป็นสัญชาตญาณที่มีความกลัวมันแฝงอยู่ กลัวเจ็บ กลัวตาย กลัวไม่ปลอดภัย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่มีอยู่เป็นตัวช่วยตอบสัญชาตญาณล้วนๆ ในสิ่งที่อยากมี อยากเป็น อยากได้ เลยเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นอำนาจที่จะดลบันดาลช่วยเราได้ ปกติใจนั้นจะเข้มแข็งก็ต้องหาที่เกาะที่เกี่ยว ความศรัทธาฝากจิตฝากใจไว้กับวัตถุ หรือตัวบุคคล เช่นตัวคนรัก พ่อ แม่ เพื่อน และบุตร อีกหลายแบบอย่าง ในทางที่ว่าเราฝากจิตฝากใจไว้ เพื่อความรัก ความที่จะไม่กลัว ความเหงาโดดเดี่ยว ความปลอดภัย ความมั่นใจ และความที่ยกตนเองในแบบรู้สึกที่ทำให้ใจฮึกเหิมขึ้น นี้ก็เป็นสัญชาตญาน ดังนั้นศรัทธาความศรัทธาที่มีรูปแบบในการพึ่ง มันก็ยังเป็นลำดับบรรไดที่เยียบถีบใจตัวเองให้เหนือขึ้นไปอีก ศรัทธาที่เป็นรูปแบบโง่ คือ ศรัทธาที่งมงายนั้นระดับต่ำ ไหว้ต้นไม้ ภูเขา สัตว์เดียรฉานที่พิกลพิการ หรือ สิ่งที่แปลกๆ แม้แต่เห็ด ที่ออกมีชั้นเจ็ดชั้น เราก็ไหว้ ในที่ว่าสิ่งนั้นมันเก่งกว่าเรา จะช่วยเราตอบสนองสัญชาตญาณที่ว่ามานั้นอย่างเต็มที่ ความโลภ อยากมี อยากเด่น จะขอสิ่งใดตามความยากที่มีตัณหาก็เต็มที่ เดียวนี้ลองคิดดูมีกันเยอะหรือว่าลองมองดูตัวเรา สิ่งนั้นคือ ศรัทธาที่ขาดปัญญาที่ใช้เหตุใช้ผล นั้นคือ พวกคลั่งไสยศาสตร์. มาเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่งยังดีกว่าระดับเดิม คือ พวกที่ไหว้รูปปั้น พระพุทธรูป หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ว่าดีกว่าระดับเดิมคือมัน ใกล้ที่จะเข้าถึงพุทธศาศนา เนื้อแท้ แต่ก็ยังต้องทำความเข้าใจ ให้พ้นจากการอ้อนวอน ขอ ติดสินบนพระพุทธรูป ที่เป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า หรือ รูปคณาจารย์ที่เขาพ้นจากสิ่งโง่แบบนี้ นี้ไม่มีปัญญา มันจึงไม่ใช้พุทธ ที่เรียกว่าชาว ผู้รู้ ผู้ตื่น โดยการขอที่เรายังไม่รู้ เช่น ติดสินบนขอ ให้ตนเองสอบได้ เป็น นายร้อย นายพันนายแพทย์ เป็นอยู่ในระดับก็แล้วแต่ ขอให้รวย ขอให้คนรักคนหลง นี้กันถ้าไม่ลงมือทำมันเป็นไปไม่ได้ เช่น จะสอบ จะรวย จะมีอย่างนู้นอย่างนี้ บางคนจะตอบว่าอย่างน้อยมันไม่เสียหายอะไร เป็นกำลังใจ คุณคิดอย่างนั้นก็ได้ มันให้ผลด้านใจแน่นอนสำหรับระดับใจเรา แต่ตามความจริง มันก็ไม่เป็นตามที่เราขอได้หรอก และบางคนบางระดับ ก็ไม่มีการพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้นเลย เพราะมัวเเต่หมกหมุ่นอยู่แต่ ขอ อ้อนวอน ไม่ลงมือกระทำ เมื่อไม่ลงมือกระทำมันก็ไม่สมเหตุสมผลที่จะได้มาตามที่ขอนั้น แม้คนที่ขอเอาว่าเพื่อความสบายใจ จะได้มาหรือไม่ได้ก็ช่าง เพื่อกำลังจิตกำลังใจที่ว่าให้ฮึกเหิม,ถ้าไหว้ด้วยปัญญา ก็ต้องแบบที่เราตั้งจิตอธิษฐาน ให้พระพุทธรูปเป็นประจักษ์พยานที่เราสมมติว่านี้คือตัวแทนของพระพุทธเจ้า เช่น ในพรรษานี้ ฉันจะเลิกบุหรี่ให้ได้,ฉันยากจะรวย ต่อไปนี้ฉันจะเป็นคนขยันไม่ขี้เกียจ และจะรู้จักใช้จ่าย,อยากจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ฉันจะต้องขยันอ่านหนังสือกว่าคนอื่นๆ,ฉันอยากอายุยืน ฉันต้องออกกำลังกายและจะเลิกสิ่งเสพติด,อยากให้คนอื่นรัก ฉันต้องเป็นคนมีน้ำใจ,นี้คือ ตั้งสัจจะอธิษฐานแล้วต้องทำตามที่ตนมุ่งมั่น หรือ ไหว้ในแง่เคารพคุณธรรม บูชาความดี อย่างนี้ก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ส่วนที่ว่าไม่ได้ไหว้อย่างนี้ คือยังไม่มีปัญญา ยากที่จะพบจิตใจที่จะพบเนื้อแท้ของพุทธศาสนา ว่ามีสิ่งที่ดีกว่านี้ที่เป็นอยู่ เช่น คนเดินป่าที่ ที่มุ่งหมายจะไปหมู่บ้านที่มีความเจริญ มีชายคนหนึ่งที่เดินป่าไม่ใส่รองเท้า(เปรียบเป็นบุคคลที่มีความเชื่อเดิมๆอยู่) เหยียบยำหนาม พื้นกรวด จนเท้าเป็นแผล เพื่อนบอกว่า ฉันมีรองเท้าให้เธอใส่ ที่จะเดินทางได้เร็วขึ้น และไม่เจ็บเท้าที่ทรมาณอยู่ ไอ้คนนั้นตอบว่าฉันยอมเจ็บเท้า เพราะฉันเดินมานานแล้วชินเสียแล้ว มีรถคันหนึ่งวิ่งผ่านมาและจะจอดรับไปส่ง เพราะหนทางมันลำบากและไกลมาก ไอ้คนอื่นๆก็นั่งรถ ส่วนไอ้คนที่ไม่ใส่รองเท้าเดินเท้าเจ็บ ตอบว่า ฉันไม่ไปรถ เดินมานานแล้ว และก็ชินเสียแล้วก็จะเดินให้ถึง คนอื่นก็นั่งรถไปอย่างสบาย ไอ้คนนั้นเดินทางผ่านป่าเป็นยังไงลองคิดดู นี้มันมีโอกาสแต่ไม่ฉลาด เพราะเคยชินที่ตนเองทำอยู่ ดังนั้นมันก็ต้องเปลี่ยนความเคยชิน ความทิฐฐิตนความเชื่อตน มานะ เสีย ที่จะเอาสิ่งที่ดีกว่าได้ ดั่งพุทธศาสนา ที่จะให้พ้นสิ่งที่งมงายไม่มีเหตุผล ให้เยียบก้าวไปสู่คุณค่าแก้นแท้ยิ่งๆขึ้นไป จนกว่าเขาอกเขาใจอะไรๆตามความเป็นจริง จนที่เรียก ว่า มีธรรมเป็นที่พึ่ง ที่ฝ่ายนามธรรม อาจจะเป็นการที่ว่าทำให้เราเขาใจอย่างชัด ที่ ว่าตนเป็นที่พึ่งของตน ในฝ่ายการดำรงชีวิต ที่งดงาม และ ฝ่ายจิตใจที่จะก้าวไปสู่ความหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งหลายทั้งสิ้นได้ นี้คือว่ามันจะเหนือไปตามลำดับจน นิพพาน ขอบอกลองไปหาอ่านดูเรื่อง มหัศจรรย์ของจิต ของหลวงวิจตรวาทการ และท่านจะพบคำตอบอีกมากมายเป็นสิ่งที่เรามีพื้นจะเข้าใจเรื่อง สิ่งศักดิ๋สิทธิ์และจิต มากขึ้น มันคือวิทยาศาสตร์ด้านจิตที่พุทธศาสนาก็มีคำตอบ อย่าลืมว่า แม้แต่บางเรื่องที่สุดๆที่ใจเราที่มีจิตหยาบ ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าบอกว่า บางเรื่องอย่าไปคิด มัน เป็นอจิณไตย คือ สิ่งที่บุคคลทั่วไปรู้ได้ยาก เช่น วิสัย ของพระพุทธเจ้า ๑ วิสัยอิทธิ ของ ณาน ๑ การเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์เรื่องกรรม การให้ผล นี้ ๑ แม้วิทยาศาสตร์ก็ไปไม่ถึงแต่มิใช่ว่า พุทธศาสนาไม่ใช้วิทยาศาสตร์ไม่มีเหตุมีปัจจัยที่ทำให้เกิดผล แต่มันจะรู้เฉพาะตัวบุคคลที่บรรลุธรรมชั้นสูงได้เท่านั้น นี้มันละเอียด ถ้านักวิทยาศาสตร์ จะคิดเอาเหตุเอาผลมาตั้ง นี่มันเป็นบ้าได้ และนักวิทยาศาสตร์ตายพบตายเกิดหลายชาติก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ ดังนั้นจึงขอบอกว่า พระพุทธศาสนา หรือหลักธรรมที่มันลึกในทางที่บุคคลที่ปฏิบัติได้พ้นสภาพการอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างตามลำดับจิต จนได้ณานนี้แหละจึงรู้ได้ แต่มันก็เป็นวิทยาศาสตร์ ในหลักของพุทธ ว่า สิ่งใดเป็นปัจจัย สิ่งนั้นก็เกิดผล หรือ อิทัปปัจจยตา อยู่อย่างนั้นเอง.
(ส่วนตัว ไม่ปฏิเสธ วัตถุมงคล แต่จะเก็บไว้ในแง่ที่ระลึกโดยรูปเหรียญที่เป็นรูปครูบาอาจารย์ ถือ ว่าได้เก็บความดีคุณธรรมของท่านและต่อยอดให้เราได้ศึกษา ประวัติอจริยวัตรของท่านด้วยที่จะนำไปปฏิบัติเป็นแบบอย่าง และเก็บไว้มอบให้กับบุคคลบางพวกที่เข้ายังไม่พ้นสิ่งเหล่านี้ คือ ขลัง ศักดฺสิทธิ์ ดลบันดาล เพื่อกำลังใจและสงสาร เพราะอยากจริงๆที่จะบอกจะกล่าวให้เขาเข้าใจได้ และ อย่างน้อยตัวเองก็ได้เข้ามาอยู่ในจุดนี้ เพราะวัตถุมงคล พระเครื่อง เครื่องรางของขลังที่เป็นบันได คนส่วนมากก็อาจจะต้องเริ่มผ่านจุดนี้จึงจะพ้นไปถึงระดับจิตใจที่สูงขึ้นได้ ก็แล้วแต่นิสัยบารมีที่สะสมด้วยเช่นกัน)