ชีวประวัติของพระครูกาชาด
(เจียม กิตฺติสาโร)
เจ้าอาวาส วัดหน้าพระบรมธาตุ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช
(หมายเหตุในบล้อกไม่สามารถจัดอักษรให้เป็นระเบียบได้ การโพสข้อความเป็นอัติโนมัติของการตั้งค่า
จึงขออภัยในการไม่เรียบร้อย ในข้อมูล)
ชีวิตปฐมวัย
ชีวประวัติของพระครูกาชาด
(เจียม กิตฺติสาโร) สถานะเดิมของท่านนั้น มีชื่อเรียกว่า เจียม นามสกุล โภคา เกิดเมื่อวันที่ ๑๕
กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๗ ตรงกับวันจันทร์ แรม ๓ ค่ำ เดือนสิบ (๑๐) ปีชวด
บิดาชื่อนายแจ้ โภคา
มารดาชื่อนางหม้ง โภคา อาศัยอยู่บ้านเลขที่ ๐๘๓ หมู่ที่ ๒
ตำบลบ้านกลาง อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ท่านมีพี่น้อง ร่วมบิดา มารดา เดียวกันทั้งหมด
๘ คน รวมท่านเป็นพี่ชายคนโต
ท่านพระครูกาชาดนั้นท่านเกิดกับหมอตำแย
ที่บ้าน ซึ่งเป็นการคลอดที่สะดวกที่สุดในสมัยนั้น การให้กำเนิด เด็กชายเจียม
ไม่มีปัญหาอะไร เป็นไปอย่างราบรื่น มีการเติบโตวิ่งเล่นเหมือนเด็กวัยทั่วไป
สุขภาพในวัยเด็ก แข็งแรงบ้าง ป่วยบ้างตามประสา
แต่ส่วนใหญ่แล้วชีวิตการป่วยของท่านในวัยเด็กไม่ค่อยจะเจ็บป่วยมากเหมือนเพื่อน
ๆที่เล่นอยู่ในวัยเดียวกัน นิสัย เป็นเด็กร่าเริง สนุกสนานเป็นไปตามประสาเด็กบ้านทุ่ง
บ้านนา เพราะเป็นลูกของชาวนา ชาวไร่
ในวัยเด็กจึงมีนิสัยที่เป็นหลักคือขยันช่วยการช่วยงาน
เป็นงานเป็นการทุกอย่างตามที่จะเรียนรู้ได้ เพราะตัวท่านนั้นเป็นพี่ชาย คนโต
ก็มีน้องชาย น้องสาว ที่จะเป็นภาระหน้าที่ของท่านที่จะต้องดูแล ตามหน้าที่ ชีวิตในวัยนั้น
เป็นชีวิตในวัยเด็กที่เลี้ยงง่าย
เพราะเป็นยุคสมัยที่
ไม่มีสิ่งที่มายั่วยุดึงความสนใจให้ไปหลงมัวเมาเหมือนดั่งยุคปัจจุบัน วิถีชีวิต
ทั้งของตัวท่านเองและในครอบครัว ก็เป็นครอบครัวที่อยู่ง่ายกินง่าย เลี้ยงง่าย
อยู่แบบพอมีพอกิน อาชีพหลักในครอบครัว
คืออาชีพทำนา มีผืนนาหลายไร่ ฐานะทางบ้านในสมัยนั้น จึงจัดเป็นฐานะปานกลาง อยู่กันไม่ลำบากขัดสน
จากการสัมภาษณ์ น้องสาว ๒ คนของพระครูกาชาด
คือ นางเรียง โภคา น้องสาวคนที่ ๔ และนางวาด โภคา น้องสาวคนสุดท้อง คนที่
๘
ในบทสัมภาษณ์ เรื่อง
วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และสถานะทางบ้านในสมัยนั้นอยู่และใช้ชีวิตกันอย่างไร ซึ่งทั้งสองก็ให้การตอบสัมภาษณ์ว่า “สถานะทางบ้านสมัยนั้นอยู่กันไม่ลำบาก
อยู่แบบ มีกิน ไม่ขัดสน ฐานะปานกลาง พ่อ แม่ นั้นเป็นคนขยัน
คิดการณ์ไกล ได้ขยันอดออมเก็บเงิน ซื้อที่นาที่ดิน มาหลายไร่ สมัยนั้น
นาไร่ผืนล่ะ ๕๐ บาท
เลยซื้อที่นาไว้ได้เยอะ เพื่อแบ่ง ๆ
ไว้ให้ลูกหลานในยามข้างหน้า
และอาชีพหลักทางครอบครัว คือการ ทำนา ปลูกข้าว ............,,,,,
...................................
ลักษณะนิสัยในวัยเด็กของเด็กชายเจียม
ผู้สัมภาษณ์ได้ถาม เรื่องลักษณะนิสัย ของ
เด็กชายเจียมซึ่งก็คือ พระครูกาชาด (เจียม กิตฺติสสาโร) ในปัจจุบัน
และในส่วนเรื่องของการทำหน้าที่ดูแล น้องๆและพ่อ แม่ ผู้ตอบสัมภาษณ์ ทั้งสองช่วยกันตอบ ว่า “สมัยตอนพวกเราเป็นเด็ก
ก็ไม่ได้อยู่กับพี่ชายมากนัก เพราะว่าพี่ชาย เด็กชายเจียม แม่
ให้ไปบวชเรียนเป็นสามเณรอยู่ ในช่วงอายุ ๑๖ ปี ที่วัดคลองขยัน เป็นวัดไม่ไกลจากบ้านมากนัก
แต่เมื่อเป็นสามเณรอยู่ พี่ชายสามเณรเจียม ไม่ค่อยได้มาเยี่ยมบ้านบ่อยนัก
เพราะส่วนใหญ่ พ่อ แม่ มักไปหาที่วัดอยู่บ่อยครั้ง พ่อ แม่
เป็นคนนิสัยชอบเข้าวัดทำบุญ จึงดีใจที่ลูกชายบวชเรียนเป็นสามเณร เพราะได้ฝากไว้
กับเจ้าอาวาส ที่พ่อ แม่สนิทกัน คือ พระครูสุจิตรวรสาร
ให้ได้ช่วยเป็นเรื่องราวในการศึกษาเล่าเรียน วิชาทางธรรม ของสามเณรเจียม
แต่เมื่อถึงวัยอุปสมบทเป็นพระนั้นท่านได้เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากถ้าทางบ้าน
พ่อแม่มีอะไรขัดสนเดือดร้อน หรือ ใครป่วยเป็นอะไร
ท่านก็มาเยี่ยมมาดูแลไม่ขาดตกบกพร่อง และก็ช่วยอะไรตามที่ช่วยได้ ตลอดระยะเวลา
พี่หลวงท่านไม่เคย ทิ้ง พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง เมื่อถึงช่วงเวลาที่พวกเรา
แยกย้ายกันไปตั้งครอบครัว เมื่อมีเรื่องอะไรที่ท่านรู้ข่าวเมื่อญาติ เพื่อนฝูง
พี่น้อง เดือดร้อนแล้ว ท่านจะยื่นมือมาช่วยอย่างเต็มที่ทุกครั้ง จนญาติ พี่น้อง
ของเราทุกคนยอมรับและชื่นชมนิสัยท่าน ว่า เป็นพระที่น่าเคารพนับถือ
มีนิสัยอ้อนน้อม อ่อนโยน เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ แบ่งปัน โอบอ้อมอารี
ไม่มีการเลือกปฏิบัติ เลือกทำกับใคร
หาใครในญาติพี่น้องเราทั้งหลายเปรียบเสมอเหมือนท่านได้
แม้ท่านมาเป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าพระบรมธาตุ แต่นิสัยเหล่านี้ไม่เคยเปลี่ยน คือ
ดีตลอด เพื่อนๆ
พระของท่านมาพูดให้ได้ยินอยู่เสมอ ว่า
ท่านพระครูกาชาด แต่ไหน แต่ไรแล้ว เป็นคนนิสัย ใจกว้างขวาง ไม่โลภ ไม่สะสม
ไม่หลงในอำนาจ ลาภสักการะ ไม่เห็นแก่ตัว ซึ่งพวกญาติ พี่น้อง และพระในวัด
ทั้งลูกศิษย์ลูกหาที่ใกล้ชิดและสัมผัส ก็รู้ลักษณะนิสัย เหล่านี้ของท่าน
พระครูกาชาด (เจียม กิตฺติสาโร) เป็นอย่างดี”
((จากการตอบสัมภาษณ์
น้องสาวของพระครูกาชาดทั้งสองนั้น คือ นางเรียง โภคา และ นางวาด โภคา ๓ มกราคม ๒๕๕๕))
ออกบรรพชา
ชีวิตของเด็กชายเจียม โภคา
สู่เส้นทางเข้ามาสู่ร่มเงาของพระพุทธศาสนา จากการสัมภาษณ์ พระครูกาชาด (เจียม
กิตฺติสาโร) โดยตรง ท่านได้บอกเล่าเรื่องราวการเข้ามาบวช ของท่านว่า “ขณะนั้นเป็นช่วงฤดูเก็บเกี่ยวข้าวในนาก็ต้องช่วยแม่เก็บเกี่ยวข้าวกลางนาตามปกติของทุกปีพอหมดงานจากการเก็บเกี่ยวข้าวก็เป็นช่วงว่างจากงาน
วันหนึ่งแม่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้
แม่ได้กวักมือเรียกไปถาม โดยพูดในทำนองภาษาใต้ ข้อร้องว่า “ไอ้นุ้ย
เอย เสร็จนา เสร็จไร่แล้ว บวชให้แม่
สักที” เด็กชายเจียมตอนนั้น
ท่านได้กล่าวคัดค้านว่า “ค่อยบวชก่อน ให้โตกว่านี้สักนิด
ถ้าบวชก็ยังเป็นสามเณรอยู่” แต่มีคำพูดที่ออกจากปากมารดาเพียงไม่กี่คำที่ทำให้เด็กชายเจียม
ตัดสินใจออกบวชด้วยความยินดี โดยแม่ท่านได้พูดว่า “ถ้าเกิดแม่ตายเสียก่อน
เมื่อไร แม่จะได้เห็นผ้าเหลืองของลูก” ท่านพระครูกาชาด (เจียม กิตฺติสาโร)
ท่านบอกว่าท่านได้ฟังคำนั้น จากที่พูดคัดค้านว่า จะไม่บวช
เกิดความรู้สึกซาบซึ้งน้ำตาไหลขึ้นมา เพราะมีความรักแม่อย่างมาก
ก็เลยตัดสินใจตกลงปลงใจบวช
หลังจากนั้นพอเสร็จฤดูเก็บเกี่ยว พ่อ แม่ท่านก็ให้ท่านไปอยู่ที่วัดคลองขยัน ตำบลบ้านกลาง อำเภอเชียรใหญ่
คือเป็นวัดประจำหมู่บ้าน เป็นเวลาประมาณ ๒ เดือน
และได้ฝากไว้กับเจ้าอาวาสวัดคลองขยัน
ถ้าบวชแล้วให้ช่วยดูแลการศึกษาเล่าเรียนด้านปริยัติธรรม ซึ่งในช่วงนั้นเป็นช่วงปีแรกพอดี ใน
พ.ศ.๒๔๘๔ ที่พระครูสุจิตรวรสาร เจ้าอาวาสวัดบ้านเนิน ตำบลบ้านเนิน อำเภอเชียรใหญ่
ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ ปีแรก เด็กชายเจียมซึ่งตอนนั้น อายุ ๑๖ ปี
ก็ได้บวชกับ พระอุปัชฌาย์ พระครูสุจิตรวรสาร เป็นสามเณรรูปแรกในปีนั้น
บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๔ เมื่อได้บวชเสร็จแล้วก็กลับไปประจำวัดคลองขยัน
วัดประจำบ้านเกิด ในขณะท่านเป็นสามเณรอยู่ ๓ ปี ท่านได้ฝึกหัด ท่องบทสวดมนต์
และใฝ่ใจอ่านหนังสือนักธรรม เพราะว่าท่านตั้งใจจะบวชต่ออีกนาน
ซึ่งท่านบอกว่าท่านเป็นเด็กที่มีความตั้งใจและมีความทรงจำดี
หนังสือธรรมะต่างๆท่านชอบอ่านเป็นนิสัย มีจิตใจพื้นฐานในการขวนขวายศึกษาธรรมะ
ทั้งถามครูบาอาจารย์ในข้อธรรมต่างๆที่ตนเองสงสัย
ท่านเป็นคนช่างคิดช่างตั้งคำถามเป็นนิสัยทุนเดิมอยู่แล้วนั้นเอง
อุปสมบท
เมื่ออายุครบบวช
๒๐ ปี ก็ได้ไปบวชอุปสมบท
กับพระอุปัชฌาย์รูปเดิมที่เคยบรรพชาให้ครั้งเป็นสามเณร คือ พระครูสุจิตรวรสาร เจ้าอาวาสวัดบ้านเนิน ตำบลบ้านเนิน
อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช พระกรรมวาจาจารย์ คือ
พระครูพินิจวิหารคุณ
อุปสมบทเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม
พ.ศ. ๒๔๘๖
วิถีชีวิตในช่วงอุปสมบทกับการศึกษาเล่าเรียน
ในบางส่วนจากการบอกกล่าวของพระครูกาชาด
(เจียม กิตฺติสาโร) นั้น ท่านบอกว่า ฝ่ายญาติพี่น้องของท่าน พวกลุง น้า
อา ฝ่ายนั้น ก่อนที่ท่านจะเข้ามาบวช
ได้บวชเป็นพระไม่ลาสิกขากัน
๔-๕ รูป คือบวชตลอดชีวิต ท่านกล่าวพูดว่า “ฝ่ายเรานั้นมีเชื้อบวชพระ คือ บวชแล้วไม่ค่อยสึก
เราเลยมีนิสัยมาทางนี้ ตอนแรก ๆ
เป็นสามเณรคงคิดว่าจะบวชไม่นาน
แค่จะบวชให้ พ่อ แม่ เท่านั้น
แต่เส้นทางชีวิตเรามันได้ลิขิตให้เดินมาทางนี้” หลังจากอุปสมบท
เป็นพระภิกษุหนุ่มท่านก็ได้กลับไปประจำวัดคลองขัยนเหมือนเดิม
ต่อจากนั้นท่านก็ขออนุญาต
เจ้าอาวาส เพื่อไปศึกษาเล่าเรียนปริยัติธรรมที่วัดหน้าพระบรมธาตุ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ท่านเจ้าอาวาสก็ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี ซึ่งในสมัยนั้น วัดหน้าพระบรมธาตุ
เป็นสำนักเรียนปริยัติธรรมที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดนครศรีธรรมราชและภาคใต้
เปิดสอนเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๒๔
สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๗ มีสอนทั้งแผนกนักธรรมและบาลี เจ้าอาวาสและเป็นเจ้าสำนักในสมัยนั้น คือ
พระอาจารย์หมุ่น อิสฺสโร
(พระครูกาแก้ว) ต่อมามีสมณศักดิ์สูงสุด คือ พระศรีธรรมราชมุนี ปริยัติธรรมวาที
สังฆปาโมกข์ เจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช
และผู้ช่วย คือ พระมหาใส ถาวโร
ซึ่งต่อมาเป็นเจ้าอาวาส วัดหน้าพระบรมธาตุ และมีสมณศักดิ์ เป็นเจ้าคุณธรรมนาถมุนี
ที่เป็นพระอาจารย์หัวหน้าหลักในการสอนปริยัติธรรมและผลักดันการเปิดสำนักเรียนปริยัติธรรมที่วัดหน้าพระบรมธาตุ
ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช
พระภิกษุเจียมก็ได้ศึกษานักธรรมจากพระอาจารย์ทั้งสอง จนสอบไล่
จบการศึกษานักธรรมชั้นเอก
ที่วัดหน้าพระบรมธาตุ เมื่อ พ.ศ .๒๔๙๐ และก็ขอเรียนต่อบาลี อีก
๒ ปี แต่ไม่ได้จบบาลีเป็นเปรียญธรรม เรียนจบแค่ชั้นประโยค ๑-๒ เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๒ ท่านเจ้าคุณหมุ่น อิสฺสโร
เลยฝากให้ไปอยู่วัดโคกสมานคุณ
อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
เพื่อให้ไปเรียนศึกษาชั้นมัธยมต้น
ต่อมาทางโรงเรียนพุทธยาคมศรียาภัย
อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร พึ่งเปิดเป็นโรงเรียนมัธยม ไม่ค่อยมีนักเรียนมาเรียนมากนัก จึงขอพระไป ๒ รูป จากวัดโคกสมานคุณ ท่านจึงต้องไปช่วยเรียนที่นั้น จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่
๖ เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๗ และท่านก็เดินทางไปเรียนต่อที่จังหวัดภูเก็ต จบด้านบัญชีและพิมพ์ดีด เรียนจบก็กลับมาประจำ ที่วัดโคกสมานคุณ
ต่อจากนั้นเมื่อท่านเรียนจบการศึกษาที่ท่านตั้งใจแล้ว
หลังจากนั้นก็เป็นชีวิต ที่
ต้องช่วยเหลือด้านการศึกษา เป็นครูพระสอนปริยัติธรรม เผยแผ่ศาสนา
เป็นระยะเวลานาน
อยู่หลายสถานที่ หลายโรงเรียน ทั้งจังหวัดสงขลา จังหวัดชุมพร
จังหวัดนครศรีธรรมราช
คือ
มีบทบาทภาระหน้าที่รับผิดชอบอยู่ ๓ อย่าง
๑. ช่วยงานแม่กองธรรมสนามหลวงของจังหวัดสงขลาทั้งเป็นกรรมการ และครูผู้สอนปริยัติธรรม
๒. เป็นงานหลักคือครูสอนนักธรรม
ประจำอยู่หลายโรงเรียน
๓. เป็นครูสอนภาบาลี ขั้นเบื้องต้น
ชอบๆๆ สาธุ ครับ...
ตอบลบนมัสการหลวงนกครับ คิดถึง
ตอบลบ