จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

ดารากับธรรมมะ บางส่วนกับชีวิต สรพงศ์ ชาตรี


ดารากับธรรมมะ บางส่วนกับชีวิต สรพงศ์ ชาตรี

ไม่เพียงแต่จะเป็นดาวที่ไม่เคยอับแสง แม้จะผ่านการแสดงภาพยนตร์มาแล้วเกือบ 500 เรื่อง สำหรับ‘สรพงศ์ ชาตรี’ หรือ ‘กรีพงศ์ เทียมเศวต’ อดีตพระเอกยอดนิยมและนักแสดง ผู้ได้รับรางวัลศิลปินแห่งชาติ ประจำปี 2551 สาขาศิลปะการแสดง ประเภทนักแสดงภาพยนตร์และละครโทรทัศน์

เพราะชีวิตในวัยย่างเข้า 60 ปีของเขา ยังเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยพลัง พร้อมจะทำสิ่งที่ตั้งใจให้บรรลุเป้าหมาย และปฏิญาณตนว่าจะขอทำหน้าที่นักแสดงผู้ซื่อสัตย์ต่อผู้ชมต่อไป ดังเช่นที่เขากล่าวไว้ในวันที่ได้รับรางวัลศิลปินแห่งชาติว่า

“ผมเป็นเด็กท้องทุ่ง พ่อแม่ปู่ย่า ตายาย ไม่เคยมีใครเป็นดารา ไม่เคยได้เรียนมหาวิทยาลัยที่สอนการเป็นดารา ดังนั้นสิ่งที่ได้มาต้องอาศัยความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ทำความดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง ไม่หวังผลตอบแทน”

ภายหลังว่างเว้นจากการเตรียมงานเพื่อทำบุญ 7 วัน 7 คืน ณ บ้านโนนกุ่ม ต.มิตรภาพ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา อันเป็นสถานที่ซึ่งเขาได้เป็นโต้โผ สร้างอุทยานและรูปปั้นหลวงปู่โต องค์ใหญ่ที่สุดในโลกขึ้นที่นั่น

นักแสดงผู้เป็นลูกหลานชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและเวลานี้ทำหน้าที่เป็นประธาน ‘มูลนิธิสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เมตตาบารมี’ ได้บอกเล่าถึงสิ่งหนึ่งที่เขาต้องการสานต่อและทำให้สำเร็จภายใน 20 ปี เพื่อเป็น การตอบแทนพระพุทธศาสนา และเป็นสัญญลักษณ์ให้ ชาวพุทธได้กราบไหว้ คือการสร้างพระนอนองค์ใหญ่ที่สุดในโลก

ชีวิตของนักแสดงผู้นี้ไม่ได้มาข้องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเอาในวัยที่สังขารของชีวิตเริ่มร่วงโรย เพราะนับแต่วัยเด็กเขามักติดตามพ่อแม่ไปทำบุญที่วัดอยู่เป็นประจำ

“จำความได้ก็ตามพ่อแม่ไปวัดแล้ว พ่อแม่ชอบไปทำบุญ ถึงวันโกนก็ต้องไปนอนวัด ตื่นเช้าขึ้นมาก็ต้องช่วยทางวัดล้างถ้วยล้างชาม ขัดกระถางธูป ล้างคณโฑมาใส่น้ำใส่ยาอุทัย ใส่ดอกมะลิ และยกตะลุ่ม (สำรับอาหารของชาวอยุธยา)ไปถวายพระ เหลือจากพระฉันเราก็ทาน แล้วก็ช่วยล้างเก็บ”

กิจวัตรดีงามเหล่านี้เป็นสิ่งที่เขาบอกว่าได้รับการปลูกฝังไว้ในวิถีชีวิต

“เป็นเรื่องปกติของคนอยุธยา และคนบ้านนอกทุกบ้าน ที่ถึงวันพระต้องไปทำบุญ และวันธรรมดาต้องใส่บาตร จัดเตรียมอาหารและขนมสารพัด”

ในวัย 11 ขวบ เขาได้รับการบรรพชาเป็นสามเณร กระทั่งอายุ 19 ปี จึงได้สึกออกมา และได้รับการชักชวนให้เข้าสู่วงการบันเทิงและมีชื่อเสียงในที่สุด

จากชีวิตสามเณรที่ต้องรักษาศีล 10 ไม่บกพร่อง ส่งผลให้ชีวิตฆราวาสของนักแสดงผู้นี้ เป็นชีวิตที่พยายามประคองตนให้อยู่ในกรอบของศีลธรรมเรื่อยมา

“เวลาไปถ่ายหนัง หรือถูกเชิญไปร้องเพลงที่ไหนก็ต้องแวะไปวัด เวลาพักกองถ่าย คนอื่นเขาจะกินเหล้ากันเราก็ไปวัด หรือตกเย็นถ่ายหนังเสร็จ ก็ไปคุยกับ พระ ติดนิสัยมาตั้งแต่ตอนเป็นเณร อยู่กับพระมาตั้งแต่อายุ 11-19 ปี จึงทำให้คุยกับคนอื่นไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะเราไม่กินเหล้ากับเขา ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นสนุ้ก ไม่เล่นม้า ไม่เล่นหวย ชอบคุยกับพระมากกว่า ได้ถามปัญหาเกี่ยวกับธรรมะ มันได้ประโยชน์กับชีวิต”

เขาได้ยกตัวอย่างให้ฟังเกี่ยวกับช่วงเวลาหนึ่งที่ชีวิตต้องประสบกับความทุกข์ แต่เมื่อนำธรรมะมาปรับใช้แก้ปัญหา ทุกข์ก้อนใหญ่ที่เคยแบกไว้และทำให้ต้องหนักอกหนักใจ ในที่สุดกลับสามารถปล่อยวางได้

“ประมาณปี 2530-2532 ช่วงนั้นวิดีโอเข้ามาใหม่ๆ หนังก็มีน้อยลง แต่ค่าใช้จ่ายมันไม่น้อยตาม เผลอเอาเช็คที่เราเซ็นแล้วหนึ่งเล่มให้เพื่อนไปกรอกตัวเลขเอง ปรากฏว่า คนโทรมาทวงเช็คเราเต็มเลย ตอนนั้นมีบ้านอยู่บนเนื้อที่ 2 ไร่ที่ลาดพร้าว ก็ต้องขายบ้านที่อยู่ ลูกก็ยังเล็ก เป็นทุกข์มาก ต้องขายบ้าน ถ้าไม่ขายบ้านไม่มีทางใช้หนี้ได้เลย เพราะหนี้ประมาณ 10 ล้าน”

จึงไปหาหลวงพ่อรูปหนึ่ง เล่าให้ท่านฟังว่าผมจะต้องย้ายบ้าน ผมจะต้องขายบ้าน ซึ่งผมเพิ่งสร้าง และอยู่มาได้ไม่กี่ปีเอง ท่านจึงถามว่า ย้ายบ้านมากี่ครั้งแล้ว ผมบอกว่า หลายครั้งเหมือนกัน ท่านจึงถามว่าแล้วบ้านใหญ่ไหม ...ใหญ่ แล้วมีความสุขไหม... ไม่สุขครับ มันทุกข์

หลวงพ่อบอกว่า ถ้า เราอยู่ในแม่น้ำใหญ่ แต่ไม่มีปลาให้กิน มันทุกข์ไหม.. ทุกข์ และถ้าอยู่ในคลองเล็กๆแต่มีปลาชุกชุม จะกินเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะปลามีอยู่เต็มหัวบันได มีความสุขไหม...สุข แค่นี้ ผมก็สว่างแล้ว จึงขายบ้าน 2 ไร่ มาอยู่บ้าน 120 ตารางวา และมีความสุข เพราะเมื่อก่อน บ้าน 2 ไร่ อยู่ลาดพร้าว ลูกๆ เรียนสาธิตเกษตร รถติด ทะเลาะกันทุกวันเลย เพราะต้องตื่นเช้า แต่พอมาอยู่บ้านเล็กแถวถนนวิภาวดี ใกล้โรงเรียนลูก ทุกคนก็แฮปปี้กัน”

การไม่ยึดติดกับสิ่งที่เคยมีเคยเป็น คือสิ่งที่เขาหาคำตอบให้กับตัวเองได้จากปัญหาครั้งดังกล่าว

บางครั้งศักดิ์ศรีหรือการยึดติด มันทำให้เราทุกข์ ถ้ามีคนชี้ทางออกให้เรา และมีธรรมะ เราจะรู้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้น มันตั้งอยู่ และดับไป เคยย้ายบ้านมาหลายครั้ง จะย้ายอีกครั้งก็ไม่เห็นเป็นไร ถึงตอนนี้ชีวิตผมจะอยู่ที่ไหนก็ได้ อยู่ในห้องแคบๆก็ได้ เพราะคับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก เชื่อแบบนั้นจิตใจก็สบาย ชีวิตก็เป็นสุขfont เราจะได้มีคำตอบไปบอกกับยมบาลไง ถ้าท่านถามว่า ตอนเป็นมนุษย์ได้ทำความดีอะไรมาบ้าง ผมจะตอบว่าผมสร้างหลวงปู่โต ผมสร้างพระพุทธเจ้า ผมทอดผ้าป่า ผมทอดกฐิน ผมสร้างกุศล ผมเคยทำชั่วมาบ้าง แต่ทำดีมากกว่าครับ(หัวเราะ)”

วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

ประวัติบุคคลสำคัญของชาติไทย ในบล้อกท่องเที่ยวใต้สู่แดนธรรม และเพลง สมเด็จพระนเรศวร



ประวัติ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ข้อมูลส่วนพระองค์ พระปรมาภิไธย  สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๒ วันพระราชสมภพ พ.ศ. ๒๐๙๘ วันสวรรคต     ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๑๔๘ พระอิสริยยศ    พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา พระราชบิดา    สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช พระราชมารดา  พระวิสุทธิกษัตรีย์

การครองราชย์ ราชวงศ์      ราชวงศ์สุโขทัย ทรงราชย์     ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๑๓๓ - ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๑๔๘ ระยะเวลาครองราชย์ ๑๕ ปี รัชกาลก่อนหน้า สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช
รัชกาลถัดมา   สมเด็จพระเอกาทศรถ
พระบาทสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๒ (พระนเรศวรมหาราช) 
       มีพระนามเดิมว่าพระองค์ดำพระราชโอรสในสมเด็จพระมหาธรรมราชาและพระวิสุทธิกษัตริย์ (พระราชธิดาของสมเด็จพระ
ศรีสุริโยทัยและสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ) พระองค์เสด็จพระบรมราชสมภพเมื่อ พ.ศ. ๒๐๙๘ ที่เมืองพิษณุโลกทรงมีพระเชษฐภคิณีคือพระสุพรรณกัลยาทรงมีพระอนุชาคือสมเด็จพระเอกาทศรถ(องค์ขาว) และทรงเป็นพระราชนัดดาของสมเด็จพระศรีสุริโยทัย พระนามของพระองค์ปรากฏในลายลักษณ์อักษรหลายฉบับ เช่น พระนเรศ วรราชาธิราช พระนเรสส องค์ดำ จึงยังไม่สามารถสรุปได้ว่าพระนาม นเรศวรได้มาจากที่ใด สันนิษฐานเบื้องต้นว่า เพี้ยนมาจาก สมเด็จพระนเรศ วรราชาธิราช เป็น สมเด็จพระนเรศวร ราชาธิราช เสด็จขึ้นครองราชเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๑๓๓ รวมสิริดำรงราชสมบัติ ๑๕ ปี เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๑๔๘ รวมพระชนมพรรษา ๕๐ พรรษาราชการสงครามในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่และสำคัญยิ่งของชาติไทย พระองค์ได้กู้อิสรภาพของไทยจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรก และได้ทรงแผ่อำนาจ
ของราชอาณาจักรไทย อย่างกว้างใหญ่ไพศาล นับตั้งแต่ประเทศพม่าตอนใต้ทั้งหมด นั่นคือ จากฝั่งมหาสมุทรอินเดียทางด้านตะวันตก ไปจนถึงฝั่งมหาสมุทรปาซิฟิคทางด้านตะวันออก ทาง
ด้านทิศใต้ตลอดไปถึงแหลมมลายู ทางด้านทิศเหนือก็ถึงฝั่งแม่น้ำโขงโดยตลอด และยังรวมไปถึงรัฐไทยใหญ่บางรัฐพระองค์ได้ทำสงครามเข้าไปในประเทศที่เป็นข้าศึกของไทย ในทุกทิศทาง จนประเทศไทยอยู่เป็นปกติสุขปราศจากศึกสงคราม เป็นระยะเวลายาวนาน พระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ทั้งสิ้น
ทั้งปวงของพระองค์ เป็นไปเพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองและคนไทยทั้งมวล ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ จะอยู่ในสนามรบและชนบทโดยตลอด มิได้ว่างเว้น แม้แต่เมื่อเสด็จสวรรคต ก็
เสด็จสวรรคตในระหว่างเดินทัพไปปราบศัตรูของชาติไทย นับว่าพระองค์ได้ทรงสละพระองค์ เพื่อชาติบ้านเมืองโดยสิ้นเชิง สมควรที่ชาวไทยรุ่นหลังต่อมา ได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
ของพระองค์ และจดจำวีรกรรมของพระองค์ เทอดทูลไว้เหนือเกล้า ฯ ไปตราบชั่วกาลนาน
พระราชประวัติเมื่อทรงพระเยาว์กับชีวิตและการศึกษาในหงสาวดี
 ตลอดระยะเวลาในวัยเยาว์ของพระนเรศวรทรงใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังจันทน์ เมืองพิษณุโลก จนกระทั่งเมื่อพระเจ้าบุเรงนองยกทัพมาตีเมืองพิษณุโลก สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช
เจ้าเมืองพิษณุโลกยอมอ่อนน้อมต่อแห่งหงสาวดี และทำให้พิษณุโลกต้องแปรสภาพเป็นเมืองประเทศราชหงสาวดีไม่ขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าบุเรงนองได้ทรงขอพระนเรศวรไปเป็น
องค์ประกันที่หงสาวดี ทำให้พระองค์ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนตั้งแต่มีพระชนม์มายุเพียง ๙พรรษานอกจากพระองค์แล้วยังมีองค์ประกันจากเมืองอื่น ๆ ที่เป็นเมืองขึ้นของหงสาวดีเป็นจำนวนมาก พระเจ้าบุเรงนองนั้นทรงให้เหล่าองค์ประกันได้รับการเลี้ยงดูและการศึกษาอย่างดี พระนเรศวรทรงใช้เวลา ๘ปีเต็มในหงสาวดีศึกษายุทธศาสตร์ของพม่า พระองค์ทรงศึกษาวิชาศิลปศาสตร์ และวิชาพิชัยสงคราม ทรงนิยมในวิชาการรบทัพจับศึก พระองค์ทรงมีโอกาสศึกษา
ทั้งภายในราชสำนักไทย และราชสำนักพม่า มอญ และได้ทราบยุทธวิธีของชาวต่างชาติต่าง ๆ ที่มารวมกันอยู่ในกรุงหงสาวดีเป็นอย่างดี เช่น ชาวโปรตุเกส สเปน หรือชาวพม่าเอง ทรงนำ
หลักวิชามาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับเหตุการณ์ และสภาพแวดล้อมในการทำศึกได้เป็นเลิศ ดังเห็นได้จากการสงครามทุกครั้งของพระองค์ ยุทธวิธีที่ทรงใช้ ได้แก่ การใช้คนจำนวนน้อยเอาชนะคนจำนวนมาก และยุทธวิธีการรบแบบกองโจร พระองค์ทรงนำมาใช้ก่อนจอมทัพที่เลื่องชื่อในยุโรป นอกจากนั้น หลักการสงครามที่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน เช่น การ
ดำรงความมุ่งหมาย หลักการรุก การออมกำลัง และการรวมกำลัง การดำเนินกลยุทธ ความเด็ดขาดในการบังคับบัญชา การระวังป้องกัน การจู่โจม ฯลฯ พระองค์ก็ทรงนำมาใช้อย่างเชี่ยวชาญ
และประสบผลสำเร็จอย่างงดงามมาโดยตลอด เนื่องจากการที่พระองค์มีชีวิตอยู่ในฐานะองค์ประกันทำให้ทรงมีความกดดันสูงจากมังกะยอชวา (พระราชโอรสในพระเจ้านันทบุเรง) จึง
ทรงมีแรงผลักดันที่จะกอบกู้อิสรภาพให้กับบ้านเมืองของพระองค์ เช่น จากการชนไก่ของพระองค์กับมังกะยอชวา เป็นต้น รวมทั้งการเหยียดหยามว่าเป็นเชลย จากพวกพม่าด้วย
ดำรงยศเป็นพระมหาอุปราช
  หลังจากที่พระเจ้าบุเรงนองตีกรุงศรีอยุธยาแตกเมื่อ พ.ศ. ๒๑๑๒ มะเส็งศก วันอาทิตย์ เดือน ๙ แรม ๑๑ ค่ำ และได้สถาปนาสมเด็จพระมหาธรรมราชาครองกรุงศรีอยุธยาในฐานะประเทศราชของหงสาวดีต่อไป หลังจากนั้น พระนเรศได้หนีกลับมาไทยโดยที่บุเรงนองยินยอมด้วยอันเนื่องมาจากพระสุพรรณกัลยาได้ขอไว้ โดยที่บุเรงนองยินยอม หลังจากที่พระองค์ดำกลับมากรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระมหาธรรมราชาได้ทรงพระราชทานนามให้ว่า พระนเรศวร และโปรดเกล้าฯให้เป็นพระมหาอุปราชไปปกครองเมืองพิษณุโลก ทรงปกครองเมืองอย่างดี
และทรงเริ่มเตรียมการที่จะกอบกู้เอกราชของกรุงศรีอยุธยา
การประกาศอิสรภาพ

  เมื่อปี พ.ศ. 2126 พระเจ้าอังวะเป็นกบฎ เนื่องจากไม่พอใจทางกรุงหงสาวดีอยู่หลายประการ จึงแข็งเมือง พร้อมกับเกลี้ยกล่อมเจ้าไทยใหญ่อีกหลายเมืองให้แข็งเมืองด้วย พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงจึงยกทัพหลวงไปปราบ ในการณ์นี้ได้สั่งให้เจ้าเมืองแปร เจ้าเมืองตองอู และเจ้าเมืองเชียงใหม่ รวมทั้งทางกรุงศรีอยุธยาด้วย ให้ยกทัพไปช่วย ทางไทย สมเด็จพระมหาธรรมราชาโปรดให้สมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปแทน สมเด็จพระนเรศวรยกทัพออกจากเมืองพิษณุโลก เมื่อวันแรม 6 ค่ำ เดือน 3 ปีมะแม พ.ศ. 2126 พระองค์ยกทัพไทยไปช้า ๆ เพื่อให้การปราบปรามเจ้าอังวะเสร็จสิ้นไปก่อน ทำให้พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงแคลงใจว่า ทางไทยคงจะถูกพระเจ้าอังวะชักชวนให้เข้าด้วย จึงสั่งให้พระมหาอุปราชา คุมทัพ
รักษากรุงหงสาวดีไว้ ถ้าทัพไทยยกมาถึงก็ให้ต้อนรับ และหาทางกำจัดเสีย และพระองค์ได้สั่งให้พระยามอญสองคน คือ พระยาเกียรติและพระยาราม ซึ่งมีสมัครพรรคพวกอยู่ที่เมืองแครง
มาก และทำนองจะเป็นผู้คุ้นเคยกับสมเด็จพระนเรศวรมาแต่ก่อน ลงมาคอยต้อนรับทัพไทยที่เมืองแครง อันเป็นชายแดนติดต่อกับไทย พระมหาอุปราชาได้ตรัสสั่งเป็นความลับว่า เมื่อสมด็จพระนเรศวรยกกองทัพขึ้นไป ถ้าพระมหาอุปราชายกเข้าตีด้านหน้าเมื่อใด ให้พระยาเกียรติและพระยาราม คุมกำลังเข้าตีกระหนาบทางด้านหลัง ช่วยกันกำจัดสมเด็จพระนเรศวร
เสียให้จงได้ พระยาเกียรติกับพระยาราม เมื่อไปถึงเมืองแครงแล้ว ได้ขยายความลับนี้แก่พระมหาเถรคันฉ่อง ผู้เป็นอาจารย์ของตน ทุกคนไม่มีใครเห็นดีด้วยกับแผนการของพระเจ้ากรุงหงสาวดี เพราะมหาเถรคันฉ่องกับสมเด็จพระนเรศวร เคยรู้จักชอบพอกันมาก่อนกองทัพไทยยกมาถึงเมืองแครง เมื่อวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 6 ปีวอก พ.ศ. 2127 โดยใช้เวลาเดินทัพเกือบสองเดือน กองทัพไทยตั้งทัพอยู่นอกเมือง เจ้าเมืองแครงพร้อมทั้ง
พระยาเกียรติกับพระยารามได้มาเฝ้า ฯ สมเด็จพระนเรศวร จากนั้นสมเด็จพระนเรศวรได้เสด็จไปเยี่ยมพระมหาเถรคันฉ่อง ซึ่งคุ้นเคยกันดีมาก่อน พระมหาเถรคันฉ่องมีใจสงสาร จึงกราบทูลถึงเรื่องการคิดร้ายของทางกรุงหงสาวดี แล้วให้พระยาเกียรติกับพระยาราม กราบทูลให้ทราบตามความเป็นจริง เมื่อพระองค์ได้ทราบความโดยตลอดแล้ว ก็ทรงมีพระดำริเห็นว่า
การเป็นอริราชศัตรูกับกรุงหงสาวดีนั้น ถึงกาลเวลาที่จะต้องเปิดเผยต่อไปแล้ว จึงได้มีรับสั่งให้เรียกประชุมแม่ทัพนายกอง กรมการเมือง เจ้าเมืองแครงรวมทั้งพระยาเกียรติพระยาราม และทหารมอญมาประชุมพร้อมกัน แล้วนิมนต์พระมหาเถรคันฉ่อง และพระสงฆ์มาเป็นสักขีพยาน ทรงแจ้งเรื่องให้คนทั้งปวงที่มาชุมนุม ณ ที่นั้นทราบว่า พระเจ้าหงสาวดีคิดประทุษร้ายต่อ
พระองค์ จากนั้นพระองค์ได้ทรงหลั่งน้ำลงสู่แผ่นดินด้วยสุวรรณภิงคาร (พระน้ำเต้าทองคำ) ประกาศแก่เทพยดาฟ้าดินว่า ด้วยพระเจ้าหงสาวดี มิได้อยู่ในครองสุจริตมิตรภาพขัตติยราชประเพณี เสียสามัคคีรสธรรม ประพฤติพาลทุจริต คิดจะทำอันตรายแก่เรา ตั้งแต่นี้ไป กรุงศรีอยุธยาขาดไมตรีกับกรุงหงสาวดี มิได้เป็นมิตรร่วมสุวรรณปฐพีเดียวกันดุจดังแต่ก่อนสืบไป
จากนั้นพระองค์ได้ตรัสถามชาวเมืองแครงว่าจะเข้าข้างฝ่ายใด พวกมอญทั้งปวงต่างเข้ากับฝ่ายไทย สมเด็จพระนเรศวรจึงให้จับเจ้าเมืองกรมการพม่า แล้วเอาเมืองแครงเป็นที่ตั้งประชุมทัพ
เมื่อจัดกองทัพเสร็จ ก็ทรงยกทัพจากเมืองแครง ไปยังเมืองหงสาวดี เมื่อวันแรม 3 ค่ำ เดือน6ฝ่ายพระมหาอุปราชาที่อยู่รักษาเมืองหงสาวดี เมื่อทราบว่าพระยาเกียรติ พระยารามกลับไปเข้ากับสมเด็จพระนเรศวร จึงได้แต่รักษาพระนครมั่นอยู่ สมเด็จพระนเรศวรเสด็จยกทัพข้ามแม่น้ำสะโตงไปใกล้ถึงเมืองหงสาวดี ได้ทราบความว่า พระเจ้ากรุงหงสาวดีมัชัยชนะได้เมืองอังวะแล้ว กำลังจะยกทัพกลับคืนพระนคร พระองค์เห็นว่าสถานการณ์ครั้งนี้ไม่สมคะเน เห็นว่า
จะตีเอาเมืองหงสาวดีในครั้งนี้ยังไม่ได้ จึงให้กองทัพแยกย้ายกันเที่ยวบอกพวกครัวไทย ที่พม่ากวาดต้อนไปแต่ก่อน ให้อพยพกลับบ้านเมือง ได้ผู้คนมาประมาณหมื่นเศษ ให้ยกล่วงหน้าไปก่อน พระองค์ทรงคุมกองทัพยกตามมาข้างหลังฝ่ายพระมหาอุปราชาทราบข่าวว่า สมเด็จพระนเรศวรกวาดต้อนคนไทยกลับ จึงได้ให้สุรกรรมาเป็นกองหน้า พระมหาอุปราชาเป็นกองหลวง ยกติดตามกองทัพไทยมา กองหน้าของพม่าตาม
มาทันที่ริมฝั่งแม่น้ำสะโตง ในขณะที่ฝ่ายไทยได้ข้ามแม่น้ำไปแล้ว และคอยป้องกันมิให้ข้าศึกข้ามตามมาได้ ได้มีการต่อสู้กันที่ริมฝั่งแม่น้ำ สมเด็จพระนเรศวรทรงใช้พระแสงปืนนกสับยาว
เก้าคืบ ยิงถูกสุรกรรมา แม่ทัพหน้าพม่าตายบนคอช้าง กองทัพของพม่าเห็นแม่ทัพตาย ก็พากันเลิกทัพกลับไป เมื่อพระมหาอุปราชาแม่ทัพหลวงทรงทราบ จึงให้เลิกทัพกลับไปกรุงหงสาวดีพระแสงปืนที่ใช้ยิงสุรกรรมาตายบนคอช้างนี้ได้นามปรากฏต่อมาว่า "พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง" นับเป็นพระแสงอัษฎาวุธ อันเป็นเครื่องราชูปโภค ยังปรากฏอยู่จนถึงทุกวันนี้เมื่อสมเด็จพระนเรศวรเสด็จกลับถึงเมืองแครง ทรงดำริว่าพระมหาเถรคันฉ่องกับพระยาเกียรติพระยารามได้มีอุปการะมาก สมควรได้รับการตอบแทนให้สมแก่ความชอบ จึงทรงชักชวน
ให้มาอยู่ในกรุงศรีอยุธยา พระมหาเถรคันฉ่องกับพระยามอญ ที้งสองก็มีความยินดี พาพรรคพวกสเด็จเข้ามาด้วยเป็นอันมาก ในการยกกำลังกลับครั้งนี้ สมเด็จพระนเรศวรทรงเกรงว่า
ข้าศึกอาจยกทัพตามมาอีก ถ้าเสด็จกลับทางด่านแม่ละเมา มีกองทัพของนันทสูราชสังครำตั้งอยู่ที่เมืองกำแพงเพชร จะเป็นอุปสรรคต่อการเดินทาง พระองค์จึงรีบสั่งให้พระยาเกียรติ พระยา
ราม นำทัพเดินผ่านหัวเมืองมอญลงมาทางใต้ มาเข้าทางด่านเจดีย์สามองค์เมื่อกลับมาถึงกรุงศรีอยุธยาแล้ว สมเด็จพระมหาธรรมราชาก็พระราชทานบำเหน็จรางวัลแก่พวกมอญที่สวามิภักดิ์ ทรงตั้งพระมาหาเถรคันฉ่องเป็นพระสังฆราชา ที่สมเด็จอริยวงศ์ และให้พระยาเกียรติ พระยารามมีตำแหน่งยศ ได้พระราชทานพานทอง ควบคุมมอญที่เข้ามาด้วย ให้ตั้งบ้านเรือนที่ริมวัดขมิ้น และวัดขุนแสนใกล้วังจันทร์ของสมเด็จพระนเรศวร แล้วทรงมอบ
การทั้งปวงที่จะตระเตรียมต่อสู้ข้าศึก ให้สมเด็จพระนเรศวรทรงบังคับบัญชาสิทธิขาดแต่นั้นมา

ยุทธหัตถี
  นับตั้งแต่สมเด็จพระนเรศวรประกาศอิสรภาพเป็นต้นมา หงสาวดีได้เพียรส่งกองทัพเข้ามาหลายครั้ง แต่ก็ถูกกองทัพกรุงศรีอยุธยาตีแตกพ่ายไปทุกครั้ง เมื่อสมเด็จพระมหาธรรมราชา
เสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๓๓ พระองค์ได้เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๑๓๓ เมื่อพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา ทรงพระนามว่า สมเด็จพระนเรศวร หรือสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๒ และโปรดเกล้า ฯ ให้พระเอกาทศรถ พระอนุชา ขึ้นเป็นพระมหาอุปราช แต่มีศักดิ์เสมอพระมหากษัตริย์อีกพระองค์หนึ่งตลอดรัชสมัยของพระองค์ทรงกอบกู้กรุงศรีอยุธยาจากหงสาวดี และได้ทำสงครามกับอริราชศัตรูทั้งพม่าและเขมร จนราชอาณาจักรไทยเป็นปึกแผ่นมั่นคง ขยายพระราชอาณาเขตออกไป
อย่างกว้างใหญ่ไพศาลกว่าครั้งใดในอดีตที่ผ่านมา งานสงครามในรัชสมัยของพระองค์ ทั้งในดินแดนไทยและดินแดนข้าศึก ได้ชัยชนะทุกครั้ง ทรงมีพระปรีชาสามารถในการนำทัพ ทรงริ
เริ่มนำยุทธวิธีแบบใหม่มาใช้ในการทำสงคราม และเปลี่ยนแนวความคิดจากการตั้งรับมาเป็นการรุก และริเริ่มการใช้วิธีรบนอกแบบการสงครามกับพม่าครั้งสำคัญที่ทำให้พม่าไม่กล้ายกทัพมารุกรานไทยอีกเลย เป็นเวลาเกือบสองร้อยปีคือ สงครามยุทธหัตถี เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๓๕ นั่นคือเมื่อหงสาวดีนำโดยพระมหาอุป
ราชามังสามเกียดยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาอีกครั้ง สมเด็จพระนเรศวรก็นำทัพออกไปจนปะทะกันที่หนองสาหร่าย จังหวัดสุพรรณบุรี บ้างก็ว่าจังหวัดกาญจนบุรี สมเด็จพระนเรศวรได้ทรง
กระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาจนกระทั่งสามารถเอาพระแสงง้าวฟันพระมหาอุปราชาขาดสะพายแล่งสิ้นพระชนม์อยู่กับคอช้างนั่นเอง

สวรรคต

  พ.ศ. ๒๑๓๗ พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงก็ให้พระเจ้าแปรมาตีกรุงศรีอยุธยาแต่ก็แตกทัพกลับไป พ.ศ. ๒๑๔๒ เสด็จฯออกไปตีกรุงหงสาวดี พระเจ้าหงสาวดีหนีไปเมืองตองอู กอง
ทัพอยุธยาตามไปถึงเมืองตองอูแต่ขาดเสบียง พ.ศ. ๒๑๔๗ ยกกองทัพหลวง ๑๐๐,๐๐๐ นายออกจากกรุงศรีอยุธยาไปตีกรุงอังวะ ผ่านทางเมืองเชียงใหม่ โดยแรมทัพอยู่ที่เมือง
เชียงใหม่เป็นเวลา ๑ เดือน ระดมทหารในดินแดนล้านนาสมทบอีก ๑๐๐,๐๐๐ นาย และทรงมอบหมายให้สมเด็จพระเอกาทศรถเป็นทัพหน้าออกเดินทางไปรับไพร่พลทหารล้านนาที่
เมืองฝาง (อำเภอฝาง เชียงใหม่) หลังจากนั้นกองทัพหลวงจึงกรีฑาทัพออกจากเมืองเชียงใหม่ไปยัง เมืองนายและกรุงอังวะ ครั้นกองทัพหลวงเดินทัพอยู่ระหว่างเมืองเชียงใหม่กับแม่น้ำ
สาละวิน ครั้นถึง เมืองหลวง หรือเมืองห้างหลวง หรือเมืองห่างหลวง หรือเมืองหางหลวง อันเป็นเมืองขึ้นของเมืองเชียงใหม่และเป็นเมืองอยู่ชายพระราชอาณาเขตในสมัยนั้น เมื่อปลายเดือน
๕ ปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๑๔๘ ได้เสด็จฯ ประทับแรมอยู่ ณ ตำบลทุ่งดอนแก้ว (ขณะที่กองทัพสมเด็จพระเอกาทศรถอยู่ที่เมืองฝางหรืออำเภอฝาง เชียงใหม่) เกิดประชวรเป็นหัวระลอกขึ้น
(บ้างว่าถูกตัวสัตว์พวกแมลงมีพิษต่อย) ที่พระพักตร์แล้วเลยเป็นบาดพิษจนเสด็จสวรรคต ณ เมืองห้างหลวง หรือ เมืองหางวันจันทร์ เดือน ๖ ขึ้น ๘ ค่ำ พ.ศ. ๒๑๔๘ เรื่องวัน
สวรรคตนี้มีรายละเอียดกล่าวต่างกัน พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขากล่าวว่า เสด็จสวรรคตวันจันทร์ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๖ เพลาชายแล้ว ๒ บาท ปีมะเส็ง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทางประวัติ
ศาสตร์คำนวณแล้วตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๕ เมษายน ๒๑๔๘ ในหนังสือ A History of Siam ของ W.A.R. Wood กล่าวว่าสวรรคตวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ค.ศ.
๑๖๐๕ (พ.ศ. ๒๑๔๘) พระชันษาได้ ๕๐ ปี เสวยราชสมบัติได้ ๑๕ ปี
พระราชกรณียกิจ

พ.ศ. 2113 เสด็จออกร่วมรบกับทหารโดยขับไล่กองทัพเขมรได้สำเร็จ
พ.ศ. 2114 ได้รับสถาปนาให้ปกครองเมืองพิษณุโลก เมื่อพระชนมายุ ๑๖ พรรษา
พ.ศ. 2117 เสด็จไปรบที่เวียงจันทน์ เผอิญทรงประชวรเป็นไข้ทรพิษจึงเสด็จกลับ
พ.ศ. 2121 ทรงทำสงครามขับไล่พระยาจีนจันตุออกไปจากกรุงศรีอยุธยา
พ.ศ. 2127 ทรงประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง และกวาดต้อนคนไทยกลับพระนคร
พ.ศ. 2127-พ.ศ. 2130 พม่ายกกองทัพมาตีไทยถึง ๔ ครั้ง แต่ถูกไทยตีแตกพ่ายกลับไป
พ.ศ. 2133 ทรงเสด็จครองราชย์ ณ กรุงศรีอยุธยาเมื่อพระชนมายุ ๓๕ พรรษา
พ.ศ. 2135 ทรงทำสงครามยุทธหัตถี จนมังกะยอชวา สิ้นพระชนม์
พ.ศ. 2136 ทรงยกกองทัพไปตีเขมรและจับพระยาละแวกทำพิธีปฐมกรรม
พ.ศ. 2138 และ พ.ศ. 2141 ทรงกรีฑาทัพไปตีกรุงหงสาวดี ครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒
พ.ศ. 2148 ทรงกรีฑาทัพไปตีกรุงอังวะ โดยยกทัพหลวง ๑๐๐,๐๐๐ นาย ออกจากอยุธยา ไปทางเมืองเชียงใหม่ และแรมทัพในเชียงใหม่ ๑ เดือน เพื่อรอการระดมทหารล้านนา
เข้าสมทบอีก ๑๐๐,๐๐๐ คนเมื่อยกทัพหลวงออกจากเมืองเชียงใหม่ มุ่งหน้าไปยัง เมืองนาย ครั้นกรีฑาทัพช่วงระหว่างเมืองเชียงใหม่กับแม่น้ำสาละวิน และไปถึงเมืองหลวง หรือเมืองห้าง
หลวง หรือเมืองห่างหลวง หรือเมืองหางหลวง ก็ทรงพระประชวรโดยเร็วพลัน เป็นหัวระลอกขึ้นที่พระพักตร์ และเสด็จสวรรคต ณ เมืองหลวง ตำบลทุ่งดอนแก้ว ตรงกับวันจันทร์ขึ้น ๘ ค่ำ
เดือน ๖ ปีมะเส็ง ซึ่งตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๕ เมษายน ๒๑๔๘ พระชนมายุ ๕๐ พรรษา ครองราชย์สมบัติได้ ๑๕ ปี

สมเด็จพระนเรศวรมหาราชในวัฒนธรรมร่วมสมัย


พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรีตราประจำจังหวัดของไทยที่มีพระบรมรูปของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเป็นองค์ประกอบ ได้แก่ จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดตาก และจังหวัดหนองบัวลำภู
มีการสร้างพระบรมราชานุสรณ์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในหลายแห่งทั่วประเทศ เช่น พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่ริมหนองบัวลำภู ในจังหวัดหนองบัวลำภู เป็นต้น
มีการนำพระนามของสมเด็จพระนเรศวรมหาราขไปตั้งเป็นชื่อของมหาวิทยาลัยนเรศวร และค่ายทหารต่างๆ ทั่วประเทศ เช่น ค่ายนเรศวร ที่จังหวัดลพบุรี ค่ายนเรศวรมหาราช ที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น ส่วนทางกรมตำรวจได้นำพระนามของพระองค์มาตั้งเป็นชื่อค่ายตำรวจตระเวนชายแดนที่อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรีว่า "ค่ายนเรศวร" ด้วยเช่นกัน
ชาวไทยนิยมนำหุ่นรูปไก่ชนพันธุ์เหลืองหางขาวไปบนบานกับพระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เพราะเชื่อกันว่าเป็นไก่พันธุ์เดียวกับตัวที่เอาชนะไก่ชนของพระมหาอุปราชาแห่งหงสาวดีได้
ในประเทศไทยได้มีการนำพระราชประวัติมาสร้างเป็นภาพยนตร์ 2 ครั้ง ครั้งแรก ใช้ชื่อว่า มหาราชดำ ในปี พ.ศ. 2522 และครั้งที่ 2 ใช้ชื่อว่า ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในปี พ.ศ. 2550
เคยมีการสร้างละครเรื่อง สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมื่อ พ.ศ. 2531 ทางไทยทีวีสีช่อง 3 และได้รับรางวัลโทรทัศน์ทองคำในปีนั้นถึง 5 รางวัล[2] ภายหลังมีการนำละครเรื่องนี้มาฉายใหม่ทางช่อง สทท.11 อีกครั้ง (ประมาณ พ.ศ. 2540)
ไม้ เมืองเดิม ได้นำเหตุการณ์ในสมัยนี้ไปใช้เป็นฉากในนวนิยายเรื่อง ขุนศึก ซึ่งตัวเอกของเรื่องคือ เสมา ทหารในสมัยสมเด็จพระนเรศวรซึ่งมีชาติกำเนิดเป็นช่างตีเหล็ก นวนิยายเรื่องนี้ได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์เช่นกัน
มีการนำพระราชประวัติของพระองค์ไปเขียนเป็นหนังสือการ์ตูนอยู่หลายครั้ง เช่น มหากาพย์กู้แผ่นดิน ผลงานของมนตรี คุ้มเรือน เป็นต้น
ได้มีการสร้างตำนานสมเด็จพระนเรศวรอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งใช้ชื่อว่า กษัตริยา ควบคู่กับ มหาราชกู้แผ่นดิน เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระชนมายุครบ 72 พรรษา ใน พ.ศ. 2542 โดยบริษัท กันตนา จำกัด เป็นผู้ผลิตรายการ ออกฉายทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ในช่วงปี พ.ศ. 2545-พ.ศ. 2546

อ้างอิง

http://www.naresuanthai.com
http://www.thaitv3.com/aboutus/about_award-tv1.html
http://th.wikipedia.org/wiki/
แหล่งข้อมูลอื่น
พระประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระนิพนธ์ในสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ







ทายนิสัย คนเกิดปีมะเส็ง (งูเล็ก)นักกษัตรย์ ๖ ทาย ๕ ตำรา


คนปีมะเส็ง (งูเล็ก)
งูเล็กมักจะปราดเปรียว จะเคลื่อนไหวยังไงก็ต้องดูหรูหรา สง่างาม อาจจะดูขี้เกียจและเอาแต่ใจตัวสักหน่อย แต่มีหัวที่ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา มีปัญญาฉลาดเฉลียวอยู่ในตัวเอง มีเสน่ห์ดึงดูดผู้คนให้เข้ามาหา เป็นนักคิดที่ลึกซึ้ง
ในบางคนอาจจะดูลึกลับ สันโดษ และห่างเหิน เร้นลับแต่น่าค้นหา มีอารมณ์รักที่เร่าร้อน ที่ซุกซ่อนอยู่ในความสงบนิ่ง อาจดูดุร้าย แต่เป็นเพราะความสุขุมรอบคอบไม่อวดตัว รอจังหวะที่จะรุกใส่หรือถอยเพื่อวางแผนแล้วค่อยๆ จู่โจมศัตรูแบบไม่ทันตั้งตัวเชียวแหล่ะ
พวกงูเนี่ยมักเป็นคนขี้หึง ขี้หวง และชอบแสดงความเป็นเจ้าของ (จงอางหวงไข่) รักแรงและเกลียดแรง เป็นคนที่ขี้ระแวง ขี้สงสัย มีปัญหาในใจ มีสัญชาตญาณในการเอาตัวรอด ลื่นไหลได้ตลอดเวลาสามารถมองเห็นการแก้ปัญหาและจัดการทำให้เสร็จได้อย่างเหลือเชื่อ ในขณะที่คนอื่นอาจมองไม่เห็น เป็นผู้ที่มีสัมผัสที่ 6 หรือลางสังหรณ์ เป็นคนที่อยากรู้อยากเห็นเป็นจอมวางแผน เป็นนักวิเคราะห์ที่เก่งพอตัว (งูเลื้อยซอกแซกไปเรื่อย) เลยสามารถรู้ในบางสิ่งที่คนอื่นทั่วไปไม่รู้ได้
สิ่งไม่ดีต่างๆเราเหนือได้ถ้าเราพัฒนาตน อย่ายอมปล่อยใจไปตามดวง เขาว่าดีเราก็หลง เขาว่าชมเราก็เสีย ว่าไม่ดีเราก็เพลีย ยอมแพ้แก่โชคชะตา เราจะยอมหรือ และจะเรียกตัวเองว่าเป็นสัตว์ที่พัฒนา ประเสริฐได้อย่างไร

ปีงูเล็ก มะเส็ง

ตำราที่๒ คนเกิดปีงู
๑. ชาติและธาตุกำเนิด

   คนเกิดปีมะเส็ง ชาติกำเนิดเป็นมนุษย์ผู้ชาย ขี่งูเป็นพาหนะ ธาตุไฟ ทางโหราศาสตร์เรียกคนเกิดปีมะเส็งว่าเป็น งูแต่งูมีหลายชนิด จึงแบ่งออกเป็นชนิดๆ ดังนี้

 เกิดเดือนอ้าย, สิบเอ็ด, สิบสอง เป็นงูลายสาบ ธาตุไฟในหิน

 เกิดเดือนยี่, สาม, สี่ เป็นงูเขียว ธาตุไฟในแก้ว

 เกิดเดือนห้า, หก, เจ็ด  เป็นพญาราชางู ธาตุไฟฟ้า

 เกิดเดือนแปด, เก้า, สิบ  เป็นงูเห่า ธาตุไฟสุมขอน

๒. อาชีพและความรัก

คนเกิดปีมะเส็ง มีนิสัยเหมือนงู คือเป็นคนมีโทสะร้าย ใจดำอำมหิต แต่ซื่อสัตย์ทุจริต รักความยุติธรรม อารมณ์รวนเร ไม่แน่นอน ทำอะไรไม่ค่อยประณีตบรรจง

            เป็นคนมีคารมคมคาย ช่างพูด มีความฉลาดเฉลียว ไหวพริบปฏิภาณดี อาภัพที่ทำคุณกับใครมักจะเกิดโทษแก่ตนเอง

            ความรัก  บุคคลเกิดปีมะเส็ง เป็นคนใจร้อน แต่เฉลียวฉลาด จึงเป็นคนมีเหตุผลในเรื่องของความรัก และมักจะมีความซื่อสัตย์สุจริตต่อคนรัก เป็นคนมีกามารมณ์รุนแรง เมื่ออยู่ใกล้เพศตรงข้าม และรู้สึกในเรื่องเพศง่าย เมื่อได้ปักใจรักใครแล้ว ก็อาจยอมได้ทุกสิ่งทุกอย่างโดยการตัดสินใจของตนเอง แต่เป็นคนถือยศถือเกียรติในเรื่องของความรัก ไม่เหลาะแหละหรือเหลวไหลง่าย เป็นคนจริง คือจริงต่อคำพูดและถือคำมั่นสัญญายิ่งนัก

            อาชีพ  การงานที่เหมาะแก่คนพวกนี้ก็คือ งานที่ใช้สมอง ปฏิภาณ ไหวพริบ คำพูด จึงเหมาะแก่งานพูด เช่น การโฆษณา นายหน้า ทนายความ นักปาฐกถา เป็นครูอาจารย์ ผู้บรรยาย ผู้วางแผนการ เช่น เสนาธิการ และงานค้าขาย จะเป็นงานที่ทำให้คนมีความเจริญรุ่งโรจน์ได้อย่างมหัศจรรย์ และสามารถทำงานนั้นๆ ที่ยากลำบากหรือสุดความสามารถของคนอื่น ให้ลุล่วงไปได้อย่างน่าประหลาดทีเดียว

๓. ชีวิตและการวิวาห์

เดือนอ้ายหรือธันวาคม

            คนเกิดเดือนอ้าย จะต้องสีเนื้อดำแดง จึงจะถูกกับโฉลกของตน และมีรูปร่างเล็กสูงโปร่งดี มิตรสหายที่จะนำประโยชน์และให้คุณ ต้องเป็นคนสีเนื้อดำแดงหรือเรียกว่าคนเนื้อสองสี

            อริหรือศัตรู เป็นคนมีลักษณะนัยน์ตาเหลือง ผมหยิกหยอง ถ้าสตรีจะมีลักษณะเป็นคนนมยาน

            เป็นคนมีวาสนาดี ไม่ค่อยมีความเดือดร้อน แต่คำพูดมักไม่ค่อยจะได้ความจริง จะได้คู่ครองเป็นคนดุร้าย ถ้ามีบุตรชายก่อนดีมีความเจริญรุ่งโรจน์

เดือนยี่หรือมกราคม

            คนเกิดเดือนยี่ ต้องมีสีเนื้อขาวเหลือง จึงจะถูกกับโฉลกดี และมีลักษณะเอวเล็กบางร่างโปร่งจึงจะดี

            อริศัตรู ถ้าเป็นชายมีรูปร่างผิวเนื้อดำแดง ถ้าเป็นหญิงจะมีลักษณะขาวสูง คนผิวดำเป็นศัตรูทุกเพศ

            จะได้คู่เป็นที่พึ่ง ถ้ามีบุตรเป็นชายก่อนดี

 เดือนสามหรือกุมภาพันธ์

            คนเกิดเดือนสาม มีลักษณะกลางๆ ไม่สูงต่ำหรือดำขาวนักจึงจะดี อาศัยเจ้านายหรือค้าขายดี จะมีความรุ่งเรือง จะได้คู่เป็นผู้มีเกียรติยศและมีมารยาท แต่นิสัยไม่ค่อยตรงกัน

เดือนสี่หรือมีนาคม

            คนเกิดเดือนสี่ ถ้ามีผิวเนื้อสองสีจะต้องโฉลกดี จะเป็นคนมีบุญวาสนาดี

            อริศัตรู ไม่ปรากฏลักษณะ แต่มิตรที่จะนำประโยชน์หรือให้คุณเป็นคนมีสีเนื้อดำแดง ถ้ามีบุตรชายก่อนดีจะมีความสุขและเจริญรุ่งเรือง

เดือนห้าหรือเมษายน

            คนเกิดเดือนห้า มีผิวเนื้อดำแดง จึงจะต้องโฉลกดี มิตรที่จะให้ประโยชน์หรือให้คุณเป็นคนมีผิวเนื้อดำแดง

            อริศัตรู มีลักษณะผมหยิกนัยน์ตาเหลือง

            ชายเกิดเดือนนี้ จะเป็นคนมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดดี ถ้าเป็นสตรีจะเป็นคนมีทรัพย์มาก

            จะได้คู่เป็นคนปากร้าย บุตรที่เกิดคนแรกถ้าเป็นหญิงจะให้คุณประโยชน์ดี

เดือนหกหรือพฤษภาคม

            คนเกิดเดือนหก ถ้ามีผิวเนื้อขาว ร่างสูงโปร่งจึงจะถูกโฉลกดี แต่คนที่เกิดเดือนนี้มักอาภัพ หาความสุขไม่ค่อยได้ พูดจาไม่ค่อยไพเราะ เป็นคนมีนิสัยเป็นคนจู้จี้จุกจิก จะได้คู่เป็นคนอารมณ์เย็น ใจบุญ

            อริศัตรู เป็นคนลักษณะผิวเนื้อดำแดง ถ้าบุตรคนแรกเป็นชายจะให้คุณประโยชน์ดี

เดือนเจ็ดหรือมิถุนายน

            คนเกิดเดือนเจ็ด ถ้ามีรูปร่างลักษณะผิวเนื้อดำแดงจะถูกกับโฉลกดี เป็นคนมีปัญญาหาทรัพย์เลี้ยงตัวเองได้

            มิตรสหายที่ให้คุณประโยชน์ เป็นคนมีผิวเนื้อค่อนข้างดำ

            อริศัตรู เป็นคนมีลักษณะบอบบาง นัยน์ตาสีเหลือง

            คู่ครอง เป็นคนมีมารยาทและวาจาเรียบร้อย ซื่อสัตย์ ถ้าบุตรคนแรกเป็นหญิงมีคุณประโยชน์ดี

เดือนแปดหรือกรกฎาคม

            คนเกิดเดือนแปด ถ้ามีรูปร่างลักษณะเป็นคนสูงโปร่ง ร่างเล็กจึงจะถูกโฉลกดี และมีผิวเนื้อดำแดง

            คนเกิดเดือนนี้ ถ้าเป็นสตรีอาภัพ ถ้าเป็นชายจะมีความสุขสมบูรณ์ดีเมื่อวัยชรา

            อริศัตรู ชายเป็นคนผมหยิกนัยน์ตาเหลือง หญิงเป็นคนนมยาน

            คู่ครอง จะได้คู่เป็นคนดุร้าย

เดือนเก้าหรือสิงหาคม

            คนเกิดเดือนเก้า ต้องมีผิวเนื้อขาวเหลือง จึงจะถูกกับโฉลกดี

            อริศัตรู ชาวผิวเนื้อดำแดง หญิงผิวขาวสูง

            มิตรสหายที่ให้คุณประโยชน์เป็นคนเอวบางร่างเล็ก

            คู่ครอง จะได้คู่ที่มั่งมีเงินทองเป็นที่พึ่งได้ดี บุตรคนแรกถ้าเป็นชายจะให้คุณประโยชน์ดี

เดือนสิบหรือกันยายน

            คนเกิดเดือนสิบ ต้องเป็นคนมีผิวเนื้อดำแดงจึงจะต้องโฉลกดี มิตรสหายที่ให้คุณประโยชน์เป็นคนผิวเนื้อค่อนข้างขาว อริศัตรูเป็นคนปากร้าย

            คนเกิดเดือนนี้ สตรีจะเป็นคนอาภัพ ถ้าเป็นชายจะมีชื่อเสียงโด่งดัง จะได้คู่เป็นผู้มีเกียรติและมารยาทงาม แต่มีนิสัยไม่ค่อยจะตรงกัน

เดือนสิบเอ็ดหรือตุลาคม

            คนเกิดเดือนสิบเอ็ด ถ้ามีผิวเนื้อดำแดงหรือขาวเหลืองจะถูกโฉลกดี มิตรที่จะให้คุณประโยชน์เป็นคนผิวเนื้อดำแดง คนเกิดเดือนนี้มักจะมีศัตรูเกิดขึ้นเองไม่ว่าจะอยู่ที่ใด โดยไม่ได้ทำอะไรให้ใคร แต่ก็ยังดีว่าศัตรูเหล่านั้นทำอะไรไม่ได้ เป็นคนมีสติปัญญาดี

            คู่ครองเป็นคนปากจัด ถ้าบุตรคนแรกเป็นชายจะให้คุณดี

เดือนสิบสองหรือพฤศจิกายน

            คนเกิดเดือนสิบสอง ถ้ามีผิวเนื้อดำแดงจะถูกโฉลกดี มิตรสหายที่ให้คุณประโยชน์เป็นคนผิวเนื้อสีเดียวกัน

         อริศัตรู เป็นคนผมหยิกตาเหลือง คู่ครองเป็นคนปากร้าย บุตรคนแรกถ้าเป็นหญิงดี จะให้คุณและเจริญดี มีสติปัญญา

ตำราที่ ๓ ปีมะเส็ง
ปีมะเส็ง
เป็นคนรูปร่างอ้อนแอ้นงดงาม มีเสน่ห์ชวนหลงใหล และน่าลุ่มหลง มีเล่ห์เหลี่ยมมารยา แพรวพราวรอบตัว ชอบแต่ตัวสดใสฉูดฉาด เปรียบเสมือนงูที่ลอกคราบให้ใหม่อยู่เรื่อยๆ เฉลียวฉลาด ไหวพริบยอดเยี่ยม มีความลึกลับอยู่ในตัว มักจะเป็นคนที่ระวังตัว เจ้าระเบียบ ปัญญาเฉียบแหลม สุขุมนุ่มลึก ไม่อวดตัวหรือโฉ่งฉ่าง มีอารมณ์รักที่เร่าร้อนที่ซุกซ่อนอยู่ในความสงบนิ่งแ ต่พร้อม ที่จะฉกกัดรัดตัวได้ทุกเมื่อ ละเอียดรอบคอบรู้จักจังหวะในการรุกหรือถอย เป็นผู้ที่รู้จักพรางตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ให้ศัตรูหรือคู่แข่งรู้ตัว เป็นคนที่หวงแหนสมบัติ เสมือนปู่โสมเฝ้าขุมทรัพย์ จะเป็นผู้ที่ระแวกระวังจึงมักขี้สงสัย ขี้ระแวง เก็บความลับของตัวเองไม่ให้ใครรู้ หลบหลีกปัญหาไม่อยากต่อกรกับใคร ถ้าต้องต่อสู้กับใคร ก็จะรู้วิธีการใช้คน และสามารถปลุกปั้นคนอื่นให้ไปต่อสู้หรือ ไปทำการใดๆ แทนตนเองได้ มีสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดมากว่านักษัตรอื่นจะทำในสิ ่งที่ตัวเองต้องการ โดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ เป็นคนที่รักแรงเกลียดแรง พร้อมที่จะแว้งงับใส่ผู้ที่มีพระคุณ ห้ามมาข่มขู่ กดขี่ หรือมาแสดงอำนาจบาตรใหญ่ ให้ไปกระทำในสิ่งที่ตน เองเห็นว่าไม่ถูกต้องหรือไม่สมควร ไม่งั้นฉันลุย...

ตำราที่ ๔ ปีมะเส็ง
คนเกิดปีมะเส็ง - งูเล็ก  เป็นมนุษย์ผู้ชาย ธาตุไฟ มิ่งขวัญตกอยู่ที่กอไผ่ และต้นรัง
            ผู้ใดเกิดมีมะเส็ง ชันษาตกที่ท้องพรหม พระอังคารเป็นปาก เจรจามักเป็นเชิงชู้สาว เป็นที่ชอบใจแก่คนทั้งหลาย พระเสาร์กับพระจันทร์เป็นมือ ทำการงานมักเสร็จเร็ว พระอาทิตย์เป็นใจมักรวนเรไม่แน่นอน พระอังคารกับพระพฤหัสบดีเป็นเท้า มักเดินทางไกลอยู่เสมอ พระพุธเป็นที่นั่ง มีกามารมณ์พอประมาณ ไม่ใคร่ชอบพึ่งใคร ปากอ่อน
            ได้เมื่อพระโพธิสัตว์ ลาพระราชบิดาขึ้นมาแต่เมืองนาคพิภพ มาจำศีลภาวนาอยู่บนจอมปลวก อาลัมพายน์พาเอาตัวไป ถ้าจะหาทรัพย์ให้บอกกล่าวกับต้นไม้ที่เป็นมิ่งขวัญเสียก่อน จึงจะหาทรัพย์ได้ และจะอยู่เย็นเป็นสุข จะได้ลาภผ้าผ่อนเงินทองนานาประการ
            คนเกิดปีมะเส็ง เดือนห้า เดือนหก เดือนเจ็ด ตกงูเห่าตาลาน ธาตุไฟฟ้า ทำราชการดีพอประมาณ พอเลี้ยงตัวได้ ใจบุญ ทำเรือกสวนไร่นาค้าขาย พอทำพอกิน ถ้าเป็นหญิงมักนอกใจผัว ใจร้าย โกรธร้าย
            คนเกิดปีมะเส็ง เดือนแปด เดือนเก้า เดือนสิบ ตกงูกระด้าง ธาตุไฟคนสุม ทำราชการ ชอบทำเรือกสวนไร่นา ค้าขายดี จะมีเงินทองมาก ใจแข็งใจบุญ มีปัญญาดีนัก
            คนเกิดปีมะเส็ง เดือนสิบเอ็ด เดือนสิบสอง เดือนอ้าย ตกงูเกิดในผ้าขี้ริ้ว ธาตุไฟในหิน ใจดี ใจบุญ ใจเติบ มักเอ็นดูคนเข็ญใจ มีปัญญา ทำราชการอาสาขุนนางท้าวพระยาจะได้ลาภ ทำเรือกสวนไร่นา แต่พอทำพอกิน
            คนเกิดปีมะเส็ง เดือนยี่ เดือนสาม เดือนสี่ ตกพญางูเหลือม ธาตุไฟในแก้ว ทำราชการได้ที่ขุนนางท้าวพระยา จะได้กินเมือง ทำเรือกสวนไร่นาค้าขาย ดีนัก
            คนเกิดปีมะเส็ง วันอาทิตย์        งูหนีไฟลงน้ำ มักจะต้องลำบาก อาภัพ มิดี
            คนเกิดปีมะเส็ง วันจันทร์         งูอยู่รู จะมีความสุข ดีนัก
            คนเกิดปีมะเส็ง วันอังคาร        งูออกหากิน อาภัพ จะตกยาก มิดี
            คนเกิดปีมะเส็ง วันพุธ              งูสาธารณ์ หาเลี้ยงตัวยาก มิดี
            คนเกิดปีมะเส็ง วันพฤหัสบดี  งูเทพารักษ์ อยู่เฝ้าทอง จะได้เป็นใหญ่ จะมีทรัพย์ ดี
            คนเกิดปีมะเส็ง วันศุกร์            งูเฝ้าทรัพย์ จะมีทรัพย์มาก ดีนัก
            คนเกิดปีมะเส็ง วันเสาร์           งูเล่นชู้ ถ้าเป็นชาย มักจะมีเมียมาก ถ้าเป็นหญิง มักจะมีผัวมาก ใจนักเลง

ตำราที่ ๕ ปีมะเส็ง

ดวงคนที่เกิดปีมะเส็ง






ดวงคนที่เกิดปีมะเส็ง



ลักษณะเฉพาะ
เป็นคนพูดน้อย หน้าตาน่ารัก ใครเห็นมักเป็นที่ติดตา

จุดเด่น
มีความฉลาดหลักแหลม รักการเรียนรู้ เป็นผู้คงแก่เรียน

จุดอ่อน
ชอบหลงตัวเองเป็นที่หนึ่ง เป็นคนตระหนี่

คู่รักที่เหมาะสม
ปีฉลู หรือระกา

  คนเกิดปีนี้มีเป็นคนมีเสน่ห์ มักเป็นที่รักของผู้อื่น พูดน้อยไม่ชอบนินทาว่าร้ายใคร และมีมารยาทดี คนปีนี้ไม่เคยขาดเงิน รู้จักประหยัดอดออม แต่เป็นคนมีนิสัยเกียจคร้าน แต่ดีที่เป็นคนช่างคิด ฉลาด และเป็นคนมุ่งมั่นไม่ทิ้งอะไรไปกลางคัน คนเกิดปีมะเส็งเชื่อเรื่องความประทับใจแรก ความรู้สึก ความ เห็นอกเห็นใจ คำแนะนำและความเห็นของผู้อื่น รวมทั้งสัมผัสที่หกในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ

  แม้จะเป็นคนชอบพูดน้อยแต่ถ้าได้พูดแล้วมักพูดอะไรเกินความจริง อีกอย่างก็คือโกหกเก่ง ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ แล้วก็เอาตัวรอดได้ทุกครั้ง คนเเกิดปีนี้ชอบหว่านเสน่ห์ แถมยังเซ็กส์จัดแต่ไม่น่ารังเกียจเกินไปนัก คนทั่วไปจึงพากันมาหลงรักคนปีนี้อย่างหัวปักหัวปำเพราะเป็นคนโรแมนติก ขี้หึงมาก ชอบคาดหวังในสิ่งต้องการสูง ต้องการความรู้สึกมั่นใจ และปลอดภัยอยู่เสมอ



  คู่ที่เหมาะกับคนเกิดปีมะเส็งที่สุดคือ คนเกิดปีระกา รองลงมาคือฉลู หรือมะเมีย ที่พอเข้ากันได้บ้างก็คือคนเกิดปีมะแม จอ ขาล ฉลู หรือมะโรง ปีต้องห้ามคือ ปีเถาะ วอก มะเส็งด้วยกันเองหรือกุน

ความรัก
  คนเกิดปีนี้มมักมีแฟนมากมาย เพราะความมากรักเลยต้องเจอกับเรื่องวุ่นวายเกี่ยวกับความรักเสียจนน่าปวดหัว มักมีความรักแบบร้อนแรงประเภทเจ้าชู้จนจับตัวไม่ทันเลยหล่ะ บางคนอาจมีคู่ควงแทบไม่ซ้ำหน้าเพื่อแสดงความเป็นคนมีเสน่ห์ ถึงไม่หล่อหรือสวยแต่สาวแก่แม่ม่ายตอมกันหึ่ง



  เพราะทั้งลีลาและคารมของเจ้าประคุณ มันช่างจับใจอย่าบอกใครเชียว แม้ชาวงูเล็กจะเข้าข่ายประเภทเจ้าชู้ แต่ถ้าได้ใครมาเป็นแฟนแล้ว บอกได้เลยว่าขี้หึงที่สุด ห้ามใครยุ่งเด็ดขาด ที่สำคัญชอบเอาแต่ใจตัวเองเป็นที่หนึ่ง ใจร้อน คนเกิดปีนี้มีรักมากก็จริง แต่มักจะหาคู่ที่แท้จริงไม่ค่อยมี รักง่ายหน่ายเร็ว

วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554

ธรรมะคำปราชญ์ ของสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี



ธรรมะของสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี
Image

สมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต พรหมรังสี )


วัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพมหานคร
ท่านเป็นอมตมหาเถระ ที่มีเกียรติคุณเป็นที่ปรากฏอย่าน่าอัศจรรย์ มีปัญญาเฉียบแหลมแตกฉานในทางธรรม
เป็นเลิศทั้งด้านสมถะและวิปัสสนา พระคาถาที่ทรงอานุภาพยิ่งของท่าน คือ คาถาชินบัญชร

ชาติกาล 17 เมษายน พ.ศ. 2331
ชาติภูมิ บ้านบางขุนพรหม ฝั่งตะวันออก กรุงธนบุรี
บรรพชา เมื่ออายุได้ 13 ปี
อุปสมบท เมื่ออายุได้ 20 ปี
ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ เมื่อ พ.ศ. 2408
มรณภาพ 22 มิถุนายน พ.ศ.2415
สิริรวมชนมายุได้ 84 ปี

คติธรรมคำสอน ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต พรหมรังสี )

เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ

ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต ) กล่าวว่า เคล็ดลับสู่ความสำเร็จสุดยอดในทางธรรม คือ จะต้องมีสัจจะอันแน่วแน่ และมีขันติธรรมอันมั่นคง จึงจะฝ่าฟันอุปสรรค บรรลุความสำเร็จได้ อาตมามีกฎอยู่ว่า เช้าตีห้าไม่ว่าฝนจะตก ฟ้าจะร้อง อากาศจะหนาว ต้องตื่นทันที ไม่มีการผัดเวลา แล้วเข้าสรงน้ำ ชำระกายให้สะอาด แล้วจึงได้สวดมนต์และปฏิบัติสมถกรรมฐานหนึ่งชั่วโมง พอหกโมงตรงก็ออกบิณฑบาต เพื่อปฏิบัติตามปฏิปทาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ฝึกจิตให้ได้ผลต้องตรงต่อเวลา
กลับจากบิณฑบาตแล้ว ก็เอาอาหารตั้งไว้ ตักน้ำใส่ตุ่ม เสร็จแล้วฉันอาหารเช้า โดยปกติอาตมาฉันมื้อเดียวเว้นไว้มีกิจนิมนต์ จึงฉันสองมื้อ สี่โมงเช้าถึงเที่ยง ถ้ามีรายการไปเทศน์ ก็ไปเทศน์ตามที่นัดไว้ วันไหนไม่ติดเทศน์ก็จะปิดประตูกุฏิทันที ไม่ให้ใครๆเข้าไป ในช่วงเวลานั้นเป็นเวลาศึกษาตำรา เวลาบ่ายโมงจึงออกรับแขก บ่ายสามโมงไม่ว่าใครจะมาอาตมาจะให้ออกจากกุฏิไปหมด เพราะถึงเวลาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ฉะนั้น จุดสำคัญจงจำไว้ เราจะปฏิบัติเพื่อหลุดพ้น ต้องมีสัจจะเพื่อตน โดยไม่เห็นแก่หน้าใคร ถึงเวลาทำสมาธิต้องทำ ไม่มีการผัดผ่อนใดๆ ทั้งสิน
หลักการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
1.จะต้องมีสัจจะต่อตนเอง
2.จะต้องไม่คล้อยตามอารมณ์ของมนุษย์
3.พยายามตัดงานในด้านสังคมออก และไม่นัดหมายใครในเวลาปฏิบัติกรรมฐาน ดังนั้นเมื่อจะเป็นนักปฏิบัติธรรมจำเป็นจะต้องมีกฎเกณฑ์ของเรา เพื่อฝึกจิตให้เข้มแข็ง

ทางแห่งความหลุดพ้น

เจ้าประคุณสมเด็จฯ มักจะกล่าวกับสานุศิษย์ทั้งหลายอยู่เสมอว่า ชีวิตมนุษย์อยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งร้อยปีก็ต้องตายและถูกหามเข้าป่าช้า ดังนั้น จึงควรประพฤติปฏิบัติอยู่ใน ศีล สมาธิ และปัญญา เพื่อให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏ ท่านเปรียบเทียบว่า มนุษย์อาบน้ำ ชำระกายวันละสองครั้ง เพื่อกำจัดเหงื่อไคลสิ่งโสโครกที่เกาะร่างกาย แต่ไม่เคยคิดจะชำระจิตให้สะอาดแม้เพียงนาที ด้วยเหตุนี้ ทำให้จิตใจของมนุษย์ ยุคปัจจุบันเศร้าหมองเคร่งเครียดและดุดัน ก่อให้เกิดปัญหาความพิการในสังคมความแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน จนกระทั่งเกิดความขัดแย้ง และกลายเป็นสงครามมนุษย์ฆ่ามนุษย์ด้วยกัน
แต่งใจ
ขอให้ท่านได้พิจารณาไตร่ตรองให้จงดีเถิดว่า ร่างกายของเรานี้ไฉนจึงต้องชำระทุกวันทั้งเช้าและเย็น จะขาดเสียไม่ได้ทั้งที่หมั่นทำความสะอาดอยู่เป็นนิจ แต่ยังมีกลิ่นไม่น่าอภิรมย์ออกมา แม้จะพยายามหาของหอมมาทาทับ ก็ปกปิดกลิ่นนั้นไม่ได้ใจของเราล่ะ ซึ่งเป็นใหญ่กว่าร่างกาย เป็นผู้สั่งบัญชางาน ให้กายแท้ๆ มีใครเอาใจใส่ชำระสิ่งสกปรกออกบ้าง ตั้งแต่เล็กจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มันสั่งสมสิ่งไม่ดีไว้มากเพียงใด หรือว่ามองไม่เห็นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้อง ทำความสะอาดหรือ?
กรรมลิขิต
เราทั้งหลายเกิดมาเป็นมนุษย์ชาติแล้ว ล้วนแต่มีกรรมผูกพันกันมาทั้งสิ้น ผูกพันในความเป็นมิตรบ้างเป็นศัตรูบ้าง แต่ละชีวิตก็ย่อมที่จะเดินไปตามกรรมวิบากของตนที่ได้กระทำไว้ ทุกชีวิตล้วนมีกรรมเป็นเครื่องลิขิต

อดีตกรรม ถ้ากรรมดี เสวยอยู่
ปัจจุบันกรรม สร้างกรรมชั่ว ย่อมลบล้าง
อดีตกรรม กรรมแห่งอกุศล วิบากตน
ปัจจุบัน สร้างกรรมดี ย่อมผดุง

เรื่องกฎแห่งกรรม ถ้าเป็นชาวพุทธแล้ว เขาถือว่าเป็นกฎแห่งปัจจังตัง ผู้ที่ต้องการรู้ ต้องทำเอง รู้เอง ถึงเอง แล้วจึงจะเข้าใจ

นักบุญ
การทำบุญก็ดี การทำสิ่งใดก็ดี ถ้าเป็นการทำตนให้ละทิฏฐิมานะ ทำเพื่อให้จิตเบิกบาน ย่อมเสวยบุญนั้นในปรภพ มนุษย์ทุกวันนี้ทำแบบมีกิเลส ดังนั้น บางคนนึกว่าเข้าสร้างโบสถ์เป็นหลังๆ แล้วเขาจะไปสวรรค์หรือเปล่า เขาตายไปอาจจะต้องตกนรก เพราะอะไรเล่า เพราะถ้าเขาสร้างด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ เป็นการทำเพื่อเอาบุญบังหน้าในการเสวยความสุขส่วนตัวก็มี บางคนอาจเรียกได้ว่าหน้าเนื้อใจเสือ คือข้างหน้าเป็นนักบุญ ข้างหลังเป็นนักปล้น
ละความตระหนี่มีสุข

ดังนั้นบุญที่เขาทำนี้ถือว่า ไม่เป็นสุข หากมาจากการก่อกรรม บุญนั้น จึงมีกระแสคลื่นน้อยกว่าบาปที่เขาทำเอาไว้หากมีใครเข้าใจคำว่า บุญ นี้ดีแล้ว การทำบุญนี้จุดแรกในการทำก็เพื่อไม่ให้เรานี้เป็นคนตระหนี่ รู้จักเสียสละเพื่อความสุขของผู้อื่น ธรรมดาเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เมื่อมีทุกข์ก็ควรจะทุกข์ด้วย เมื่อมีความสุขก็ควรสุขด้วยกัน
อย่าเอาเปรียบเทวดา
ในการทำบุญ สิ่งที่จะได้ก็คือ ระหว่างเราผู้เป็นมนุษย์ เรารู้ว่าสิ่งที่เราทำนี้จะเป็นมงคล ทำให้จิตใจเบิกบานดี นี่คือการเสวยผลแห่งบุญในปัจจุบัน ทีนี้การทำบุญเพื่อจะเอาผลตอบแทนนั้น มนุษย์นี้ออกจะเอาเปรียบเทวดา ทำบุญครั้งใด ก็ปรารถนาเอาวิมานหนึ่งหลังสองหลัง การทำบุญแบบนี้เรียกว่า ทำเพราะหวังผลตอบแทนด้วยความโลภ บุญนั้นก็ย่อมจะไม่มีผล ท่านอย่าลืมว่า ในโลกวิญญาณเขามีกระแสทิพย์รับทราบในการทำของมนุษย์แต่ละคนเขามีห้องเก็บบุญและบาปแห่งหนึ่ง อันเป็นที่เก็บบุญและบาปของใครต่อใครและของเรื่องราวนั้นๆ กรรมของใครก็จะติดตามความเคลื่อนไหวของตนๆนั้น ไปตลอดระหว่างที่เขายังไม่สิ้นอายุขัย
บุญบริสุทธิ์
การที่สอนให้ทำบุญโดยไม่ปรารถนานั้น ก็เพื่อให้กระแสบุญนั้นบริสุทธิเป็นขั้นที่นึ่ง จะได้ตามให้ผลทันในปัจจุบันชาติ แต่ถ้าตามไม่ทันในปัจจุบันชาติ ก็ติดตามไปให้เสวยผลในปรภพ คือ เมื่อสิ้นอายุขัยจากโลกมนุษย์ไปแล้ว ฉะนั้น เขาจึงสอนไม่ให้ทำบุญเอาหน้า ทำบุญอย่าหวังผลตอบแทน สิ่งดีที่ท่านทำไปย่อมได้รับสนองดีแน่นอน
สั่งสมบารมี

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับนักปฏิบัติธรรมแล้ว การทำบุญทำทานย่อมเป็นการส่งเสริมการปฏิบัติจิตให้บรรลุธรรมได้เร็วขึ้น เป็นบารมีอย่างหนึ่ง ในบารมีสิบทัศที่ต้องสั่งสม เพื่อให้สำเร็จมรรคผลนิพพาน

เมตตาบารมี
การทำบุญให้ทานเพียงแต่เรียกว่า ทานบารมี หากบำเพ็ญสมาธิจิตจนได้ญาณบารมี และโดยเฉพาะการบำเพ็ญทุกอย่างนั้น ถ้าท่านให้โดยไม่มีเจตนาแห่งการให้ ให้สักแต่ว่าให้เขา ท่านก็ย่อมได้กุศลเรียกว่าไม่มาก และทัศนคติของอาตมาว่าการบำเพ็ญเมตตาบารมีในภาวนาบารมีนั้นได้กุศลกรรมกว่าการให้ทาน

แผ่เมตตาจิต
ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะสัมฤทธิ์ผลนั้น เกิดจากกรรม 3 อย่าง คือ มโนกรรม เป็นใหญ่ แล้วค่อยแสดงออกมาทางวจีกรรม หรือกายกรรมที่เป็นรูป การบำเพ็ญสมาธิจิตเป็นกุศลดีกว่า เพราะว่า การแผ่เมตตา 1 ครั้ง ได้กุศลมากกว่าสร้างโบสถ์ 1 หลัง ขณะจิตที่แผ่เมตตานั้น จะเกิดอารมณ์แจ่มใส สรรพสัตว์ไม่มีโทษภัย ตัวท่านก็ไม่มีโทษภัย ฉะนั้น เขาจึงว่านามธรรมมีความสำคัญกว่า

อานิสงส์การแผ่เมตตา
ผู้ปฏิบัติธรรมนั้น ต้องรู้จักคำว่า แผ่เมตตา คือต้องเข้าใจว่า ความวิเวกวังเวงแห่งการคิดนึกของเราแต่ละบุคคลนั้น มีกระแสแห่งธาตุไฟผสมอยู่ในจิตและวิญญาณกระจายออกไป เมื่อจิตของเรามีเจตนาบริสุทธิ์ เมื่อจิตของเราเป็นมิตรกับทุกคน เมื่อนั้นเขาก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา เสมือนหนึ่งเราให้เขากินอาหาร คนที่กินอาหารนั้นย่อมคิดถึงคุณของเรา หรืออีกนัยหนึ่งว่าเราผูกมิตรกับเขาๆก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา แม้แต่คนอันธพาล เราแผ่เมตตาจิตให้ทุกๆวัน สักวันหนึ่งเขาก็ต้องเป็นมิตรกับเราจนได้ เมื่อจิตเรามีเจตนาดีต่อดวงวิญญาณทุกๆดวง ดวงวิญญาณทุกๆดวงย่อมรู้กระแสแห่งจิตของเรา เรียกว่ามนุษย์เรานี้มีกระแสธาตุไฟออกจากสังขาร เพราะเป็นพลังแห่งการนั่งสมาธิจิต วิญญาณจะสงบ ธาตุทั้ง 4 นั้น จะเสมอแล้วจะเปล่งเป็นพลังงานออกไป ฉะนั้น ผู้ที่นั่งสมาธิปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ จิตแน่วแน่แล้ว โรคที่เป็นอยู่มันจะหายไป ถ้าสังขารนั้นไม่ใช่จะพังเต็มทีแล้ว คือไม่ถึงวาระสิ้นอายุขัย หรือว่าสังขารนั้นร่วงโรยเกินไปแล้ว ก็จะรักษาให้มันกระชุ่มกระชวยได้หรือจะให้มันสบายหายเป็นปกติดั่งเดิมได้

ประโยชน์จากการฝึกจิตผู้ที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จนมีสมาธิแน่วแน่ เมื่อจิตนิ่งก็รู้ตน เริ่มพิจารณาตน รู้ตนเองได้ ปัญญาก็เกิดขึ้น ปัญญานี้เรียกว่า ปัญญาภายในจากจิตวิญญาณ ซึ่งเราจะใช้ปัญญานี้ได้แน่นอน เมื่อเกิดมีปัญหาขึ้นในชีวิตตลอดระยะเวลาอันยาวนานข้างหน้า นี่คือประโยชน์ของการฝึกจิตแล้ว คุณของสมาธิยังเป็นพลังป้องกันไม่ให้เกิดโรคภัย เจ็บป่วยได้ กล่าวคือ การบำเพ็ญจิต จนจิตสงบนิ่งแล้ว ระบบต่างๆทางประสาทจะได้รับการพักผ่อน เป็นการปรับธาตุในกายให้เกิดพลังจิตเข้มแข็ง กายเนื้อก็จะแข็งแรงกระชุ่มกระชวยด้วย โลหิตในร่างกายจะหมุนเวียนสะดวกขึ้น ความตึงเครียดตามร่างกายและประสาทต่างๆ จะผ่อนคลายเป็นปกติ โรคต่างๆจะลดน้อยลงโดยเฉพาะผู้ที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง หายป่วยได้ด้วยการฝึกจิตและเดินจงกรม

เรื่องสั้น ตื่นลึกแห่งธรรม คำถามของชีวิต


ตื้นลึกแห่งธรรม สาระแห่งชีวิต

        ตะวันบ่ายคล้อยไปสู่ทิศตะวันตก  สายลมพลิ้วไหวอยู่รอบกาย  ใบของต้นมะพร้าวล้อลมเหมือนระริ้วคลื่น  นกสองตัวบินวนรอบต้นมะขามก่อนจะบินร่อนไป  เสียงเณรโตกับเณรแมวโต้เถียงกันดังปรัชญาของผู้ใหญ่แว่วมาให้หลวงตาได้ยินว่า          “เมฆบังตะวัน  แต่เรายังรู้สึกร้อน”

เณรแมว      อาจเป็นเพราะเมฆยังหนาไม่พอ

เณรโต                เมฆมีหนาบาง  ใจคนมีบางมีหนาไหม?  ถ้าใจคนมีบางมีหนา เอาอะไรไปวัด

เณรแมว      “ไม่รู้”  รู้แต่ว่าเมฆอยู่ใกล้พระอาทิตย์ไม่เจ็บปวด  ทั้งไม่ร้อนรน  แต่มนุษย์เราสิอยู่ก็ไกลพระอาทิตย์  นั่งอยู่ในชายคาแต่ก็เอาพระอาทิตย์ที่อยู่นอกกายมาให้ใจร้อนรน

เณรโต               “ใช่ของเณร”  งั้นเราไปถามหลวงตาดีกว่าว่า  “ใจคนมีหนาบางเอาอะไรวัด”  แล้วสามเณรทั้งสองก็ขึ้นไปบนศาลาที่หลวงตานั่งอยู่  ทั้งสองก้มลงกราบหลวงตา  ก่อนที่จะถามปัญหาคาใจกับหลวงตา  รถเก๋งสีขาวก็วิ่งมาหน้าศาลา  จอดสนิทแล้ว  หญิงวันกลางคนสองคนเดินลงจากรถ  ขึ้นมาหาหลวงตา  สามเณรทั้งสองจึงขยับหลีกไปนั่งข้างหลังหลวงตา  หญิงทั้งสองก้มกราบหลวงตา  บอกกับหลวงตาว่าเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทั้งสองจบปริญญาโท  กำลังศึกษาต่อปริญญาเอก  อยากมาถามปัญหาและฟังธรรมอันลึกซึ้ง

        หลวงตาถามว่าต้องการฟังธรรมอย่างลึกซึ้งหรือ  อย่าพึ่งรีบเลย ควรจะต้องปูพื้นฐานก่อน  เหมือนเราจะเดินลงทะเลที่ลึกได้  ก็ต่อเมื่อเราได้เดินลงชายทะเลในที่ตื้นๆ  ก่อน  เรื่องของธรรมะไม่ใช่จะกระโดดปุ๊ปแล้วมันก็จะไปสู่ที่ลึกได้  เพราะฉะนั้นขอปูพื้นก่อน  เผื่อบางคนไม่มีฐานจะลำบาก  จึงจะขอเล่านิทานให้ฟังก่อน

        ปรากฏว่าอาจารย์ปริญญาโทโมโหมาก  บอกว่าดิฉันไม่ใช่เด็กนะ  จะได้มาเล่านิทานให้ฟัง  ความรู้ของดิฉันระดับปริญญาทั้งคู่นะ  เธอหาว่าหลวงตาดูถูก

        หลวงตาก็เลยบอกว่า  โยม  คนเรานั้นไม่ได้โตที่เนื้อหนัง  ไม่ได้โตที่ร่างกาย  คนที่จะโตมีความรู้ดีได้ต้องรู้จักข่มจิตข่มใจเมื่อคำพูดไม่พอใจมากระทบหู  เขาจึงจะเรียกว่าคนโต  คนใหญ่  แต่ใครก็ตามที่กระทบอารมณ์ไม่พอใจนิดเดียวแล้ววูบวาบหรือหวา  มีอาการโกรธง่าย  โมโหง่ายอย่างนี้  ไม่เรียกว่าผู้ใหญ่หรอก  เพราะเป็นอารมณ์ของเด็ก  กระทบอะไรไม่พอใจก็หงุดหงิดโกรธง่ายเหมือนกับเด็ก  ดูเมฆก้อนนั้นสิโยมมันถูกแสงอาทิตย์แผดเผา และตัวมันก็บดบังแสงอาทิตย์  ถามว่า  มันเจ็บมันปวดมันโกรธกันและกันไหม  ...!   มันทั้งสองสิ่งต่างทำหน้าที่  ทำหน้าที่โดยไม่กระทบตนกระทบคนอื่นผสานกันบ้าง  เมื่อถึงเวลาก็มีการ  พลัด   พราก   พบ  ต่างคนต่างทำหน้าที

        หลวงตาบอกว่าที่ทำไปเป็นการปูพื้นฐานกันจะรับเรื่องธรรมะลึกๆ  ได้ไหม  เพียงพูดแค่คำตื้นๆ  แค่สองสามคำเท่านั้นก็โกรธ  แล้วหลวงตาก็บอกว่าเรื่องธรรมะนั้นมันก็ไม่มีลึกไม่มีตื้นหรอกมีแต่ความเข้าใจ 

        เรื่องของธรรมะก็คือเรื่องที่ทำให้ราคะ  โทสะ  โมหะ  เบาบางลง  นี้ไม่เบาเลย  มาถึงก็พรึบใส่หลวงตา  ดีที่หลวงตามีสามเณรอยู่ข้างๆ  ไม่งั้นหลวงตาแย่  ท่านพูดยิ้มๆ  พลอยทำให้เณรทั้งสองพลอยยิ้มไปด้วย  ปลูกบ้านเริ่มจากก่ออิฐ  ปลูกความรู้เริ่มจาการศึกษาเรื่อง  ปลูกธรรมะเริ่มจากสัมมาทิฏฐิ  (ความเห็นที่ถูกต้อง)

        การได้ปริญญานั้นต้องระวังให้ดี  ทางพระพุทธศาสนาเขาถือว่าความสิ้นไปแห่งควากอยาก  ความโกรธ  ความหลง  จึงจะเรียกว่าได้ปริญญาชีวิต  แต่ถ้าคนไหนได้ปริญญาหรือประกาศนียบัตรอะไรมากมาย  แต่เต็มไปด้วยความอยากได้  ความโกรธ  ความหลง  ก็ยังถือว่าได้แต่ประกาศนียบัตรกระดาษเท่านั้น

        ปริญญาทางพุทธศาสนาคือความสิ้นไปแห่งตัณหาทั้งหลาย  แต่ถ้าเราได้ทั้งสองอย่างก็ดี  ปริญญาทางโลกเราก็ได้จบรัฐศาสตร์  จบกฎหมาย  จบปริญญาโท  ปริญญาเอกยิ่งดี  ที่เราจบปริญญาทางโลกก็เพื่อให้เราสะดวกสบายในการหาเลี้ยงชีพ  และได้ปริญญาทางธรรมะซึ่งจะทำให้จิตเราสงบเย็น

        คนเรานั้นควรจะได้รับทั้งสองอย่าง

คือหนึ่ง  ได้รับวัตถุมาทำให้ร่างกายได้รับความสบายสบายเหมือนการกินอาหาร  ประกอบอาชีพได้มาจากความรู้

และสอง  ได้ธรรมะมาประโลมจิตใจให้สงบเย็น  ไม่ว่าแดด  ฝน  ลม  หนาว  ผ่านเข้ามาในชีวิตก็สงบเย็นได้

        ถ้าความสะดวกสบายบวกกับความสงบเย็นทางจิตใจ ชีวิตก็ถือว่าสงบเย็น  ถ้ามีแต่ความสะดวกสบายแต่ขาดความสงบเย็นทางจิตใจ  มีแต่ความเร่าร้อนมันก็ได้เพียงส่วนเดียว

        ท่านหันไปคุยกับเณร  การจะวัดคนทางจิตใจนั้นควรวัดที่คุณธรรมที่พวกเจ้าทั้งสองโต้เถียงกันนั้น  วัดคนดีด้วยคุธรรมสองประการคือ

๑.        หิริ                ความละอายแก่ใจ.

๒.        โอตตัปปะ      ความเกรงกลัว.

หรือ เรียกว่าธรรมคุ้มครองโลก หรือ ธรรมเป็นโลกบาล ?

ธรรมคุ้มครองมนุษย์โลก ให้คงเป็นสังคมมนุษย์อยู่ได้

คนที่มี หิริ ?       ความละอายแก่ใจในขณะกำลังจะทำชั่ว ทั้งทางกาย วาจา ใจ รู้สึกขยะแขยงใจไม่กล้าทำความชั่ว  เรียกว่า หิริ 

วัดขันติด้วย  โอตตัปปะ ?

        ความเกรงกลัวต่อบาปทุจริต คิดเห็นภัยที่เกิดจากการทำความชั่ว เรียกว่า  โอตตัปปะ

เณรรู้ไหมว่า ทำไม ท่านจึงเรียกว่า ธรรมสำหรับคุ้มครองโลก ?

เณรทั้งสองตอบว่า  ไม่ทราบครับหลวงตา

หลวงตาจึงพูดช้าชัดว่า       พราย่อมคุ้มครองโลกให้อยู่กันด้วยความรัก สามัคคี ไม่มีความอาฆาตพยาบาทปองร้ายกันและกัน ทำให้การเป็นอยู่ร่วมกัน มีความสงบสุขร่มเย็น ”

เพราะมีธรรมเป็นผู้คุ้มครอง  คือ  หิริ  โอตตัปปะ เป็นผู้คุ้มครอง ส่วนคำว่า  โลก  นั้นหมายเอาหมู่สัตว์ที่อาศัยแผ่นดินทั้งหมด  หมายเอาทวีปหลาย ๆ ทวีปมารวมกัน

        เมฆก็มีหนา  มีบางด้วยสภาพของธรรมชาติที่เกื้อกูลสรรพชีวิต  คนมีรวมตัวแล้วแตกแยก  แต่นั้นหาใช่สาระไม่

        เกิดมามีชีวิตหนึ่งควรเก็บสาระของชีวิตให้คนอื่นได้ชื่นชม  ให้คนอยู่ด้วยตรงหน้าสบายใจ  ให้คนจากไปอาลัยหาในความดีของตน

การภาวนาหรือการเรียนรู้ขณะย่างก้าวของชีวิตจะสอนเราให้เปลี่ยนแปลงหันมาใส่ใจดูชีวิตจิตใจด้านใน  ซึงถูกละเลยมาโดยตลอดยามเราเผลอสติอย่าเป็นดังแมลงเม่า  กับนกเค้าแมว

.............................................................................

        แมลงเม่าบินเข้ากองไฟ  คือการปลิดชีวิตตัวเองด้วยความไม่รู้เท่าทัน

        ส่วนนกเค้าแมวกินหนูเน่าก็คือ  การประจานตนเอง

        มนุษย์เราวุ่นวายอยู่กับเงินทอง  ชื่อเสียง  เกียรติยศนั้น  ก็เท่ากับหาความลำบากใส่ตัว  เพราะการวุ่นวายอยู่กับการหาเงิน  หาประโยชน์  จะทำให้สูญเสียความเกษมสำราญแห่งการปล่อยวางไปสิ้น

        อาจารย์ทั้งสองกราบลงด้วยจิตใจที่ปล่อยวางได้  หลวงตาให้ศีลให้พร  และเตือนให้สามเณรไปธุระของตนก่อนทำหน้าทีอันเป็นกิจวัตรของตน  สายลมเย็นๆ  พัดไหวกายเบาๆ  เสมือนกาลเวลาผ่านพ้นกลืนกินเวลาชั่วขณะให้ผ่านเลยไปอีกครั้ง....
                                                             ที่มา จากชมรมลานความคิด ดีมากๆ

สายฝน แห่งชีวิต ปล่อยความทุกข์ กังวลไหลไปตาม สายน้ำ ไม่ยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวาง





ใบไม้ร่วงโรย ชีวิตล่วงเลย แต่ใจไม่ร่วงหล่น